รู้จัก "ไฟโบรมัยอัลเจีย" โรคเรื้อรัง ที่ทำให้คุณปวดเมื่อย อ่อนเพลีย

รู้จัก "ไฟโบรมัยอัลเจีย" โรคเรื้อรัง ที่ทำให้คุณปวดเมื่อย อ่อนเพลีย

รู้จัก "ไฟโบรมัยอัลเจีย" โรคเรื้อรัง ที่ทำให้คุณปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากคุณลองสังเกตตนเองว่าร่างกายคุณเริ่มมีอาการปวดเมื่อยเมื่อใด โปรดอย่าปล่อยทิ้งไว้นานควรสำรวจอาการ และรีบเร่งรักษา หรืออาจเข้ารับคำปรึกษาจากนักบำบัดโดยด่วน เพราะคุณอาจเสี่ยงเป็น โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ได้


โรคไฟโบรมัยอัลเจีย คืออะไร

โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) เป็นกลุ่มอาการของโรคเรื้อรัง ที่จะส่งผลให้คุณรู้สึกปวดกล้ามเนื้ออย่างหนักทางร่างกาย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตร่วม เนื่องจากอาการปวดเมื่อยเรื้อรังนี้อาจทำให้คุณรู้สึกอารมณ์แปรปรวน ระบบประสาททำงานไม่เต็มที่ และนำไปสู่อาการนอนไม่หลับในยามกลางคืน เพราะความปวดเมื่อยรุนแรง


โรคไฟโบรมัยอัลเจีย พบบ่อยเพียงใด

ตามสถิติของสถาบันโรคข้ออักเสบ กล้ามเนื้อ และกระดูกแห่งชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่ประสบกับโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ส่วนมากเป็นเพศหญิง มากกว่าเพศชาย ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ประมาณ 80-90%


อาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

ความเจ็บปวดนี้สามารถเกิดขึ้นได้บริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย จากนั้นอาจจะค่อย ๆ ลุกลามไปในวงกว้าง ซึ่งสัญญาณเตือน หรืออาการแรกเริ่มของโรคไฟโบรอัลเจีย มีดังนี้

  • รู้สึกปวด และตึงที่กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และกล้ามเนื้อค่อนข้างยืดหยุ่นได้น้อย ลุกลามไปยังบริเวณใบหน้า หรือเส้นกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อกับความเจ็บปวดที่แรก
  • มีอาการนอนไม่หลับ หรือเริ่มนอนผิดเวลา
  • มีอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome; RLS)
  • มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท ความจำ ทำให้คุณไม่มีสมาธิ ที่เรียกกันว่า “fibro fog”
  • มีอาการลำไส้แปรปรวน

อาการของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละราย ดังนั้นหากเกิดอาการใดๆ เพิ่มเติม ที่มีความรุนแรงขึ้น เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ หรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต อย่างโรคซึมเศร้า คุณควรเข้ารับขอคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อหาแนวทางรักษาด้วยเทคนิคอื่น ร่วมด้วยในทันที


สาเหตุของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

ถึงจะยังมีสาเหตุที่ไม่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยที่อาจเชื่อมโยงกัน ดังนี้

  • พันธุกรรม นักวิจัยคาดว่าเป็นการพัฒนาของยีนบางอย่าง ที่มีบทบาทในการสร้างความเจ็บปวด และความเสียหายให้แก่เซลล์ประสาท
  • การติดเชื้อ เป็นการติดเชื้อที่เกิดมาจากผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด โรคปอดบวม โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร ที่มีการปะปนของเชื้อซาลโมเนลล่า (Salmonella) แบคทีเรียชิเจลลา (Shigella) และไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus; EBV) นำไปสู่การเชื่อมโยงก่อให้เกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจียได้
  • อุบัติเหตุ ในบางกรณีผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บมาจากอุบัติเหตุรุนแรงเช่น รถชน ก็สามารถทำให้เกิดการปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนส่งผลให้โรคไฟโบรมัยอัลเจียลุกลามตามมา

 
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การพัฒนาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ได้แก่

  • ประวัติของครอบครัวผู้ป่วย
  • ช่วงอายุที่มากขึ้น
  • เพศ ถึงแม้จะสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศชาย และเพศหญิง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักพบเจอในเพศหญิงเสียมากกว่า
  • ความเครียดสะสม
  • อาการเจ็บป่วยของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่


การวินิจฉัยและการรักษา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

ทางสมาคม American College of Rheumatology ได้กำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยสุขภาพ ที่อาจนำไปสู่โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ไว้เพื่อการวินิจฉัย ดังนี้

  1. ตรวจสอบร่างกายทั้ง 18 จุดที่พร้อมกับอาการนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า และระบบประสาททำงานล่าช้า อาการเจ็บปวดต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 เดือน
  2. การตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง และทดสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์

การรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

จุดประสงค์ของการรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย คือบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ได้รับผลกระทบมาจากโรคนี้ ซึ่งทางแพทย์อาจมีการใช้ยา ควบคู่กับบำบัดทางกายภาพร่วมดังนี้

  • ยาบรรเทาอาการปวด เช่น อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพรอกเซน โซเดียม (Naproxen sodium) เป็นต้น หรือยาลดความปวดเมื่อยอื่น ๆ ตามภาวะสุขภาพในระยะเวลานั้นๆ
  • ยาต้านโรคซึมเศร้า ที่อาจเข้ามามีส่วนช่วยลดความเหนื่อยล้า ความเครียด และส่งเสริมการนอนหลับให้คุณได้อย่างดี เช่น ดูล็อกซีทีน (Duloxetine) และมิลนาซิแพรน (Milnacipran) เป็นต้น
  • ยาป้องกันโรคลมชัก ในตัวยากาบาเพนติน (Gabapentin) และยาพรีกาบาลิน (Pregabalin) มีสารบางอย่างที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดบางประเภท และเป็นยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหาร และยาเพื่อใช้รักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

นอกจากการรับประทานยาตามที่แพทย์ได้ทำการอนุญาตแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการทำกายภาพบำบัด โดยอาจเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น เล่นโยคะ ไทเก๊ก หรือการฝังเข็ม และนวดบำบัดร่วม เพื่อเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อคุณให้กลับมามีการใช้งานได้ปกติดังเดิม

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อรับมือกับโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ดังนี้

  1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  3. รับประทานผัก และผลไม้ ให้มากกว่าเนื้อสัตว์
  4. ควรทานธัญพืชจำพวก ถั่ว อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต ที่มีใยอาหารปราศจากน้ำตาล ดื่มนมที่มีไขมันต่ำ แต่ให้โปรตีน และพลังงานสูง
  5. ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่พอดีแก่ร่างกายต้องการต่อวัน
  6. ลดการทานอาหารที่มีระดับน้ำตาลสูง
  7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูเตน (Gluten)
  8. ลดการทานอาหารที่อยู่ในกลุ่ม (Fermentable Oligo-Di-Monosaccharide and Polyols; FODMAP) ที่มีผลกระทบต่อลำไส้ หรือช่องทางเดินอาหาร เช่น ครีมชีส โยเกิร์ต นมข้นหวาน ผลไม้แห้ง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวสาลี เป็นต้น

หากคุณมีข้อสงสัยอื่นๆ สามารถปรึกษากับนักโภชนาการ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพิ่มเติมได้ เพื่อสร้างความเข้าใจ และรับคำแนะนำในการนำมาปรับปรุงสุขภาพของคุณ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook