"แพ้น้ำหอม" แต่อยากใช้ ทำอย่างไรดี?
-
น้ำหอม คือ สารละลายหอมระเหยของน้ำมันที่สกัดมาจากดอกไม้ในธรรมชาติ หรือสารธรรมชาติอื่นๆ หรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้น ในสารละลายแอลกอฮอล์
-
การเลือกน้ำหอมที่ดีที่สุดคือการฉีดลงไปที่ผิว ไม่ควรดมที่กระดาษ เพราะผิวของเราจะผสมกับกลิ่นน้ำหอมจนเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ แต่ก็ต้องระวังการระคายเคืองต่อผิวด้วย
-
สารบางชนิดที่ควรระวังในน้ำหอม ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้น้ำหอมโดยตรงกับผิวควรหยุดการใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมนั้นทันที หากมีอาการแพ้ โดยมากผื่นนั้นมักจะหายภายใน 5-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์
พญ.อนิตา นิตย์ธีรานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท อธิบายว่า น้ำหอม คือ สารละลายหอมระเหยของน้ำมันที่สกัดมาจากดอกไม้ในธรรมชาติ หรือสารธรรมชาติอื่นๆ หรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้น ในสารละลายแอลกอฮอล์ ซึ่งต้นกำเนิดของน้ำหอมเริ่มต้นเมื่อ 4,000 ปีก่อน โดยชาวเมโสโปเตเมีย เปอร์เซียและอียิปต์ ผู้คนจะใช้กลิ่นหอมในโอกาสต่างๆ ตั้งแต่พิธีกรรมทางศาสนา การเตรียมฝังศพ จนถึงการนำมาพรมกายให้หอม
โดยชาวอียิปต์เชื่อว่าน้ำหอมคือเหงื่อของเทพแห่งดวงอาทิตย์ และถือว่าน้ำหอมคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ ชาวอียิปต์ยังนับถือเทพเจ้าแห่งน้ำหอมนามว่า เนเฟอร์ตุม ซึ่งมีสัญลักษณ์คือเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากดอกวอเตอร์ลิลลี่ ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้ได้กลายมาเป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมที่นิยมกันมากในปัจจุบัน
การให้กลิ่นของน้ำหอมในปัจจุบัน มักจะผสมหัวน้ำหอมชนิดต่างๆ ดังนี้
- Top note หรือ Head note เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่ระเหยออกมาตัวแรกสุด เพราะมีโมเลกุลขนาดเล็กทำให้กลิ่นระเหยได้ง่าย จะมีกลิ่นหลังจากฉีดแล้ว 10-20 นาที ส่วนมากใช้ส่วนผสมจากมะนาว ส้ม ดอกลาเวนเดอร์ ตะไคร้ มะกรูด
- Middle note หรือ heart note เป็นกลิ่นของน้ำหอมตัวหลักของน้ำหอมกลิ่นนั้น จะมีกลิ่นที่กลมกลืนไปกับ base note จะมีกลิ่นติดทนหลังจากฉีด 3-6 ชั่วโมง ส่วนมากจะใช้ส่วนผสมจากดอกไม้ต่างๆ ผลไม้ สมุนไพรและเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอม
- Base note เป็นกลิ่นน้ำหอม ที่ออกมาหลัง Middle note ให้ความติดทนอาจอยู่นานถึง 24 ชั่วโมงเพราะเป็นโมเลกุลใหญ่ แต่กลิ่นเจือจางอ่อนๆ ส่วนมากใช้ส่วนผสมของเปลือกไม้ วนิลา มัสค์ แอมเบอร์กริสหรืออำพันทะเล หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดีก็คืออ้วกวาฬ ซึ่งหายากและมีราคาแพงมาก
- Bridge เป็นกลิ่นสุดท้ายของผู้ฉีดผสานกับกลิ่นของหัวน้ำหอมที่เจือจาง ออกมาจึงเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของผู้ฉีดเอง
ทำไมน้ำหอมถึงมีราคาแพง?
รู้หรือไม่ว่า น้ำหอมกลิ่น Gabrielle Chanel ของ Chanel มีส่วนผสมหายากคือ ดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose Absolute) ซึ่งการจะสกัดหัวน้ำหอม 1 กิโลกรัมนั้นจะต้องใช้ดอกซ่อนกลิ่นถึง 6,000 กิโลกรัม ดังนั้น กว่าจะมาเป็นน้ำหอมพร้อมจำหน่ายสักขวดนั้น ผู้ผลิตหลายรายต้องลงทุนลงแรงเตรียมการผลิตล่วงหน้าอยู่นานหลายปี
ส่วนผสมของน้ำหอมที่มีราคาแพง
- จัสมิน( Jasmine) หรือหัวน้ำหอมจากดอกมะลิ ที่เป็นส่วนผสมหลักในน้ำหอมหลายแบรนด์
- บัลแกเรียน โรส (Bulgarian Rose) หรือหัวน้ำหอมจากกุหลาบบัลแกเรีย ที่มีความหอมเป็นเอกลักษณ์ และหอมมากกว่ากุหลาบพันธุ์ใดๆ
- อู๊ด (Oud) หรือไม้กฤษณา พรรณไม้ในสกุลนี้ปกติมีเนื้อไม้สีขาว เมื่อเกิดบาดแผล ต้นไม้จะหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อรักษาบาดแผลนั้น แต่สารเคมีจะขยายวงกว้างออกไปอีก ก่อให้เกิดเนื้อไม้ซึ่งมีสีดำ กลิ่นหอม เรียกว่า “กฤษณา”
- มัสค์ (Musk) เมื่อก่อนนั้น มัสค์ที่มาจากธรรมชาติต้องสกัดมาจากต่อมเพศของกวางมัสค์ตัวผู้ที่พบได้ในแถบที่ราบสูงของประเทศทิเบต ซึ่งได้สร้างความเจ็บปวดทารุณต่อกวางมัสค์อย่างมาก ปัจจุบันมีกลิ่นไวท์มัสค์เป็นกลิ่นที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบกลิ่นของ มัสค์ (Musk) ธรรมชาติ
- ออริส (Orris) สารสกัดรากต้นออร์ริส (Iris pallida) ปลูกกันมากที่อิตาลี นอกเมือง Florence กลิ่นหอมของออริสได้รับความชื่นชอบจาก Catherine de Medici ในศตวรรษที่ 16 ส่วนการเก็บเกี่ยวลำต้นใต้ดินหรือรากใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก่อนสกัดน้ำมันจากรากด้วยการกลั่นไอน้ำ
- แอมเบอร์กริส (Ambergris) หรืออำพันทะเล หรือ อำพันขี้ปลาเป็นผลิตผลที่มาจากการสำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬหัวทุย มีลักษณะเป็นของแข็งซึ่งเป็นก้อนไขมันมีหลายเฉดสีตั้งแต่สีเทาหรือสีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนอย่างสีส้มหรือสีขาวคล้ายหินอ่อน ที่พบเฉพาะในลำไส้ของวาฬ ซึ่งให้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
ประเภทของน้ำหอม
น้ำหอม ได้จากการนำหัวน้ำมันหอมที่สกัดมาจากกลิ่นหอมต่างๆ ตามธรรมชาติ หรือสารเคมี มาผสมกับสารละลายแอลกอฮอลล์ โดยสัดส่วนต่างๆ กัน ดังนี้
- Perfume จะมีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 30-40%
- Eau de Parfum มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 20-30%
- Eau de Toilette มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม10-20%
- Eau de Cologne มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 3-5%
การเลือกซื้อน้ำหอม
- เลือกกลิ่นที่เราชอบ ไม่ต้องตามใคร ส่วนการเลือกน้ำหอมที่ดีที่สุดคือการฉีดลงไปที่ผิว ไม่ควรดมที่กระดาษ เพราะผิวของเราจะผสมกับกลิ่นน้ำหอมจนเป็นกลิ่นเอกลักษณ์ แต่ก็ต้องระวังการระคายเคืองต่อผิวด้วย
- อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อน้ำหอมในตอนที่ลองทันที ควรให้เวลาน้ำหอมออกกลิ่นบางส่วนก่อน สัก 15-30 นาที
- ผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นฉุนมาก ควรเลือกน้ำหอมที่เจือจางน้อย เช่น Eau de Toilette หรือ Eau de Cologne
เมื่อซื้อน้ำหอมมาแล้วควรฉีดที่ตรงไหน ตอนไหน
- หลังอาบน้ำเสร็จ ผิวจะมีความชุ่มชื่น และกักเก็บกลิ่นหอมได้ดี
- การฉีดน้ำหอมอย่างพอดี ห่างจากผิวไม่เกิน 5 นิ้ว ตามจุดทั้งร่างกาย และเพียงครั้งเดียวใน 1จุด
- บริเวณที่ทำให้น้ำหอมติดทนนาน ได้แก่ ซอกหู ซอกคอ ลำตัว ข้อพับแขน
สารในน้ำหอมที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
- พาราเบน (Paraben) เป็นสารกันเสียที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง แม้สารดังกล่าวจะได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสม
- พาทาเลต (Phthalate) เป็นสารเคมีที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเช่น โลชั่น สบู่ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมในน้ำหอมอีกด้วย
- หัวน้ำหอมที่สกัดมาจากดอกลาเวนเดอร์ ผลไม้ตระกูลซิตรัส เช่น มะนาว ส้ม มะกรูด สารสกัดจากโอคมอส อาจส่งผลให้เกิดการแพ้ระคายเคืองได้
ลักษณะผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis) ที่เกิดจากการแพ้น้ำหอม
1. ผื่นแพ้สัมผัสจากสารก่อการระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis) มักขึ้นกับความเข้มข้นหรือปริมาณน้ำหอมที่ฉีด จะยิ่งมีอาการมากขึ้นหากฉีดในปริมาณที่มากหรือใช้หัวน้ำหอมในสัดส่วนที่สูง สามารถเกิดได้กับทุกคน มักเกิดได้ทันทีหรือภายใน 2 วัน ผื่นอาจมีความแดง แห้ง คันหรือมีอาการลอก ขอบเขตของผื่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หากมีการใช้ซ้ำ
2. ผื่นแพ้สัมผัสแบบผิวหนังอักเสบ (Allergic Contact Dermatitis)ผื่นชนิดนี้ไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของน้ำหอมที่ใช้ และไม่ได้เกิดกับทุกคน บางครั้งไม่ได้เกิดขึ้นในครั้งแรก แต่เมื่อมีการใช้ซ้ำๆ จะมีอาการแสดงออกมา เช่น ตุ่มแดง พอง มีน้ำเหลือง มักเกิดจากการแพ้สารใดสารหนึ่งในน้ำหอม
แนวทางการป้องกันผื่นแพ้สัมผัสจากน้ำหอม
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้น้ำหอมโดยตรงกับผิว หากเคยทำการทดสอบโดยการทาบริเวณข้อพับ แล้วมีอาการแสบแดง ระคายเคืองและสำหรับคนแพ้แต่อยากตัวหอมเพราะชอบกลิ่นน้ำหอมนั้นๆ อาจใช้วิธีฉีดน้ำหอมใส่เสื้อผ้า ใส่ผ้าเช็ดหน้าแล้วพกใส่กระเป๋าเสื้อหรือกางเกงแทนได้
- ควรหยุดการใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมนั้นทันที หากมีอาการแพ้ โดยมากผื่นนั้นมักจะหายภายใน 5-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์