รู้จักโรค "อะโครเมกาลี" จากเนื้องอกที่อาจพบได้ในต่อมใต้สมอง

รู้จักโรค "อะโครเมกาลี" จากเนื้องอกที่อาจพบได้ในต่อมใต้สมอง

รู้จักโรค "อะโครเมกาลี" จากเนื้องอกที่อาจพบได้ในต่อมใต้สมอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากการศึกษาพบว่า ในจำนวนประชากร 1 ล้านคน จะพบผู้ป่วย โรคอะโครเมกาลี จำนวน 8 คน

โรคอะโครเมกาลี คืออะไร?

ผ.ศ.รัชนีวรรณ ขวัญเจริญ ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ให้ข้อมูลว่า โรคอะโครเมกาลี เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากภาวะที่มีระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตในเลือดสูงเกินปกติ โดยสาเหตุของโรค มักเกิดจากเนื้องอกเป็นหลัก ซึ่งร้อยละ 90 เกิดที่บริเวณ “ต่อมใต้สมอง”

อาการของโรคอะโครเมกาลี

อาการที่สังเกตได้ ซึ่งเกิดจากภาวะที่มีฮอร์โมนมากเกิน คือ

  •       มือ เท้า ใหญ่กว่าปกติ ทำให้ต้องมีการเปลี่ยน size แหวนและ size รองเท้า

  •       มีใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนาขึ้น ผิวหนังหน้าหยาบขึ้น หน้ามัน หนังศีรษะอาจมีลักษณะที่เป็นลอนเพิ่มขึ้น
  •       อวัยวะภายในก็มีการโตขึ้นเช่นกัน เช่น อาจจะมีหัวใจโต ความดันโลหิตสูง มีโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ยาก

  •       หรืออาจทำให้เกิดโรคมะเร็งบางอย่างเพิ่มขึ้นได้มากกว่าประชากรปกติ เช่น มะเร็งลำไส้

อาการอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากเนื้องอกไปกด เบียดอวัยวะข้างเคียง คือเนื้องอกส่วนใหญ่ ซึ่งมักเกิดที่บริเวณต่อมใต้สมองไปกดเบียดอวัยวะสำคัญที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้น ได้แก่ เส้นประสาทตา เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา คนไข้บางส่วนจึงอาจจะมาด้วยอาการ

  •       การมองเห็นที่ผิดปกติ, ลานสายตาแคบลง

  •       การกรอกตาที่ผิดปกติ

  •       การมองเห็นภาพซ้อน

  •       การปวดศีรษะ

อาการของโรค แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ อาการของโรคซึ่งเกิดจากภาวะที่มีฮอร์โมนเกิน และอีกส่วนหนึ่ง ก็จะเป็นอาการที่เกิดจากเนื้องอกไปกดเบียดอวัยวะข้างเคียง


การรักษาโรคอะโครเมกาลี

การรักษาในปัจจุบัน ก็มีเป้าหมายเพื่อควบคุม ระดับฮอร์โมนในเลือด ให้ใกล้เคียงระดับปกติมากที่สุด

  • การผ่าตัด เป็นการรักษามาตรฐานเพื่อที่จะเอาเนื้องอกออกไปให้ได้มากที่สุด

  • การฉายแสง และ การให้ยา เป็นการรักษาขั้นถัดไป เพื่อช่วยลดระดับของฮอร์โมนในเลือดและช่วยลดขนาดของก้อนเนื้องอกได้ด้วย

ปัจจุบันโรคอะโครเมกาลี ถูกบรรจุอยู่ในกลุ่มโรคที่สามารถใช้สิทธิรักษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งก็คือสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีอาการสงสัยและคิดว่าเราจะเป็นโรคนี้ แนะนำให้ไปพบแพทย์ตามสิทธิ์รักษาได้ถ้าเราปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้น และไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร โรคก็จะกำเริบรุนแรง ทำให้มีข้อแทรกซ้อนมีความพิการเกิดขึ้นได้มาก

ข้อสำคัญของโรคนี้ก็คือ ตรวจพบให้ได้โดยเร็วที่สุด และรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะทำให้ระดับฮอร์โมนของผู้ป่วยใกล้เคียงกับคนปกติ เพราะฉะนั้นข้อแทรกซ้อนต่างๆ ก็จะลดลงด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook