รู้จักภาวะ “ผิวหนังติดสเตียรอยด์” เมื่อใช้กับผิวหนังนานเกินไป
หากใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์กับผิวหนังนานเป็นปีๆ อาจเสี่ยงภาวะผิวหนังติดสเตียรอยด์ และมีผลกระทบต่อผิวหนังอย่างรุนแรงได้
สเตียรอยด์ คืออะไร?
สเตียรอยด์ หรือสเตอรอยด์ เป็นชื่อเรียกของกลุ่มฮอร์โมนที่ถูกสร้างจากต่อมหมวกไตภายในร่างกายของคนเรา โดยหลักๆ มี 2 ชนิด คือ โคติซอล(Cortisol) และ อัลโดสเตอรอยด์(Aldosterone) นอกจากนี้ เมื่อคนเราอยู่ในภาวะเครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารสเตียรอยด์ออกมามากขึ้น
ต่อมาในวงการแพทย์แผนปัจจุบันจึงสร้างสารสเตียรอยด์สังเคราะห์ขึ้นมาจากสเตียรอยด์ชนิดโคติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นสเตียรอยด์ต้นแบบของร่างกาย เพื่อพัฒนาตัวยาบางชนิดให้ ออกฤทธิ์แรงขึ้นเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคบางชนิด
ยาประเภทใดบ้าง ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
ยาแผนปัจจุบันหลายชนิดมีสารกลุ่มสเตอรอยด์เป็นส่วนประกอบ เช่น
- ยารักษาโรคภูมิแพ้
- ยารักษาโรคหอบหืดชนิดพ่นสูดทางปาก ได้แก่ เบโดรเมธาโซน และบูเดโซไนด์
- ยาหยอดตา ยาป้ายตา
- ยารักษาโรคไตบางชนิด
- ยารักษาอาการข้ออักเสบ
- ยาแก้แพ้
นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายตัวที่เป็นสเตียรอยด์ทั้งชนิดยารับประทาน ยาฉีด ยาพ่น ยาทา ซึ่งตัวยาทั้งหมดนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และเภสัชกร
อันตรายจากการใช้สเตียรอยด์ไม่ถูกวิธี
ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้สเตียรอยด์มักมาจากการใช้สเตียรอยด์ไม่ถูกวิธี เช่น กิน/ใช้มากเกินไป ทาลงบนผิวหนังในบริเวณกว้างเกินไป กิน/หรือใช้นานเกินไป เป็นต้น
โดยอันตรายจากสเตียรอยด์มีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับประเภทของยาที่ใช้ เช่น หากเป็นยากิน การกินยาไม่ถูกวิธีอาจส่งผลให้
- ติดเชื้อโรค (ยากดการทำงานของภูมิคุ้มกัน)
- เป็นเบาหวาน (ยาเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด)
- มีอาการบวมและความดันโลหิตสูง (ยาทำให้ร่างกายขับน้ำลดลง แต่เพิ่มการสะสมไขมันที่หน้า หลัง และท้อง)
- กระดูกพรุน (ยารบกวนสมดุลการสร้างกระดูก)
- เป็นแผลในทางเดินอาหาร
- ผิวหนังเหี่ยวย่น บาง
- ตาเป็นต้อ
- ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ
- รบกวนการเจริญเติบโตในเด็ก
เป็นต้น
สเตียรอยด์ ในยาทาผิวหนังภายนอก
Topical Steroids เป็นยาสเตียรอยด์สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เช่น Dermovate, TAcream, Beta cream, Topicort, Prednisil cream โดยมากจะนิยมซื้อมาใช้เป็นยาทาผิวหนังในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคเซ็บเดิร์ม หรือโรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ผิวไหม้แดด เป็นต้น
แต่อาจมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ใช้ยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล อาจมีสาเหตุมาจากอาการต้านยา ดื้อยา หรือหยุดยาแล้วกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งอาจมาจากการซื้อยาทาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ หรือการไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดมากพอ
รู้จักภาวะ “ผิวหนังติดสเตียรอยด์”
หากใช้ยาสเตียรอยด์บนผิวหนังเป็นเวลานาน อาจเกิดการติดยาสเตียรอยด์ (Steroid Addict) เมื่อหยุดยาหน้าจะแดงมีสิวผดเกิดขึ้น ปัญหานี้พบบ่อยมากเนื่องจากมีการใช้สเตียรอยด์เกินความจำเป็นในคลินิกรักษา ผิวหนังและเสริมความงาม
ในต่างประเทศมีการเรียกอาการผิวติดสเตียรอยด์ได้หลายแบบ ขึ้นกับอาการที่แสดงออก เช่น
- Red Skin Syndrome (RSS, อาการผิวแดง)
- Topical Steroid Addiction (TSA, อาการติดสเตียรอยด์)
- Topical Steroid Withdrawal (TSW, อาการลงแดงหลังหยุดสเตียรอยด์)
สาเหตุของอาการผิวติดสเตียรอยด์
ผิวติดสเตียรอยด์เป็นสภาวะอ่อนแอของผิวที่เกิดมาจาก
- การใช้สเตียรอยด์ในการรักษาปัญหาผิวบางอย่าง เช่น ผื่นแพ้ สิว
- การใช้เครื่องสำอางสำหรับทำให้ผิวขาวที่มีส่วนประกอบบางประเภท
- การทาสเตียรอยด์ให้ผู้อื่นแล้วลืมล้างมือ
อาการของผิวติดสเตียรอยด์
ก่อนหยุดทายาสเตียรอยด์
- มีความแดงตีกลับระหว่างรอบทายา
- มีผื่นกระจายไปส่วนอื่นของร่างกาย
- คันมาก รู้สึกแสบร้อน บางครั้งเหมือนเข็มจิ้ม
- ต้องการสเตียรอยด์ที่แรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อคงผลรักษาที่ดีไว้ (ทำให้อาการสงบ)
- อาการระคายเคืองต่อสารที่แพ้รุนแรงขึ้น
หลังหยุดทายาสเตียรอยด์
- ผิวแดงจัดคล้ายผิวไหม้แดด
- ผิวลอกอย่างเห็นได้ชัด
- มีน้ำเหลืองซึม
- มีอาการบวมในบริเวณที่สัมผัสสเตียรอยด์ทั้งทางตรง และทางอ้อม
- ไวต่อสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมต่างๆ เช่น น้ำ การเคลื่อนไหว เสื้อผ้า อุณหภูมิ หรือแม้แต่ครีมบำรุงทั่วไป
- ตาแห้ง และระคายเคืองง่าย
- ผิวหนาย่น และมีสีคล้ำขึ้น คล้ายผิวหนังช้าง
การป้องกันอาการผิวหนังติดสเตียรอยด์
- ไม่ซื้อยามาทาเอง ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ รับยาที่เหมาะสมจากแพทย์ และปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัด
- โดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นหลังจากการใช้ยาภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นค่อยๆ ลด การใช้ยาลง เช่น เปลี่ยนเป็นชนิดที่อ่อนลง หรือ ลดจำนวนครั้งที่ทา (ทั้งนี้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ด้วย)
- หลีกเลี่ยงการทายาบนผิวหนังปกติ ที่ไม่มีอาการใดๆ
- ไม่ใช้ยาทามากเกินความจำเป็น เช่น หากแพทย์แนะนำให้ทาวันละ 2 เวลา ก็ควรทาแค่ 2 เวลา การทายาบ่อยกว่าปกติไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา แต่อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาในกลุ่มฤทธิ์แรงปานกลางและสูง ในปริมาณเกินกว่า 45 กรัมต่อสัปดาห์ใน ผู้ใหญ่และไม่เกิน 15 กรัมต่อสัปดาห์ในเด็ก
- หากซื้อยามาทาเอง แล้วอาการของโรคผิวหนังที่เป็นแย่ลงในขณะที่ใช้ยา ควรหยุดยา และรีบไปพบแพทย์ผิวหนัง