"น้ำกะหล่ำปลีม่วง" บอกเพศลูกในท้องได้ จริงหรือ?
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาไขข้อสงสัยผ่านรายการของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ให้ได้ทราบกันว่า น้ำกะหล่ำปลีม่วง สามารถใช้ทดสอบบอกเพศของลูกในท้องของหญิงตั้งครรภ์ได้จริงหรือไม่?
หญิงมีครรภ์อาจเคยได้ยินวิธีเช็กลูกในครรภ์ด้วยการใช้กะหล่ำปลีม่วงกันมาบ้าง วิธีที่ใช้กันคือ นำกะหล่ำปลีม่วงไปต้ม แยกกากออก เอาแต่น้ำสีม่วงมาใช้ จากนั้นก็เอาน้ำสีม่วงนี้ไปผสมกับน้ำปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์คนที่ต้องการเช็กเพศของลูก หากสีออกมาเป็นสีชมพู หรือสีแดง อาจเป็นลูกชายที่แสดงให้เห็นถึงพลังอันร้อนแรง ถ้าออกมาเป็นสีน้ำเงิน ม่วง หรือเขียว อาจเป็นลูกสาว
วิธีเช็กเพศลูกด้วยน้ำต้มกะหล่ำปลีม่วง ได้ผลจริงหรือไม่ ไปฟังคำตอบกัน
"น้ำกะหล่ำปลีม่วง" บอกเพศลูกในท้องได้ จริงหรือ?
ในตัวของน้ำกะหล่ำปลีสีม่วง จะมีสารอยู่ตัวหนึ่งที่เรียกว่า Anthocyanin เป็นตัวที่สามารถชี้วัดความเป็นกรด หรือด่างได้ เมื่อนำมาผสมกับปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์ หากเกิดการเปลี่ยนในเชิงของ pH ในเชิงของความเป็นเป็นด่าง มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีได้
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในค่าความเป็นกรดหรือด่าง ขึ้นอยู่กับคุณแม่ จากการกินอาหารในแต่ละวัน ยาที่รับประทานในขณะนั้น ไม่สามารถบ่งบอกเพศของลูกในครรภ์ได้ ดังนั้นการเช็กเพศของลูกในครรภ์ด้วยการดูสีน้ำต้มกะหล่ำปลีม่วงผสมน้ำปัสสาวะ จึงไม่เป็นความจริง
วิธีเช็กเพศของลูกในครรภ์อย่างถูกต้องและปลอดภัย
เริ่มต้นต้องตรวจการตั้งครรภ์ก่อน ซึ่งปัจจุบันสามารถหาซื้อที่ตรวจครรภ์ด้วยตัวเองตามร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องขอใบรับรองแพทย์ และสามารถตรวจได้ด้วยการทดสอบกับน้ำปัสสาวะง่ายๆ ไม่กี่นาทีรู้ผลทันที อย่างไรก็ตาม เครื่องมือเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือพื้นฐานเบื้องต้น และต้องมีเครื่องหมาย อย. กำกับที่ผลิตภัณฑ์ด้วย
เมื่อมีความแน่ใจว่าอาจจะตั้งครรภ์ ค่อยไปตรวจซ้ำอีกครั้งกับคุณหมอที่โรงพยาบาล เช่น ตรวจวัดระดับฮอร์โมนในร่างกาย
สำหรับการเช็กเพศของลูก ส่วนมากใช้วิธี “อัลตร้าซาวด์” แต่อาจจะต้องรอให้อายุครรภ์ถึง 16-20 สัปดาห์เสียก่อนถึงจะเช็กได้ เพราะการอัลตร้าซาวด์จะใช้เครื่องมือในการมองหาอวัยวะเพศของลูกน้อยระหว่างการเติบโตในครรภ์นั่นเอง
สิ่งสำคัญคือ เมื่อทราบว่าตัวเองมีความน่าจะเป็นว่าจะตั้งครรภ์แล้ว ควรปรึกษาแพทย์ และตรวจร่างกายอย่างละเอียดทันที เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลบุตรในครรภ์กับแพทย์โดยตรง ไปจนถึงสามารถคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย