สัญญาณอันตราย "นิ่วในไต" เจอให้ไว รีบรักษาก่อนไตพัง
นิ่วในไตเป็นสาเหตุสำคัญของโรคที่เกี่ยวกับไต สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย ผู้ชายมีโอกาสพบได้มากกว่าผู้หญิง และช่วงวัยที่พบส่วนใหญ่คือ อายุ 30-40 ปี หากปล่อยทิ้งไว้นานไม่รีบรักษา อาจเกิดการติดเชื้อจนเนื้อไตเสีย เกิดอาการไตเสื่อมและไตวายเรื้อรังได้ในอนาคต ควรปรึกษาแพทย์ รีบรักษาก่อนอาการรุนแรง
นิ่วในไต คืออะไร?
นพ.สมเกียรติ พุ่มไพศาลชัย ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า นิ่วในไตเป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุแข็งชนิดต่างๆ จนกลายเป็นก้อนที่มีชนิดและขนาดแตกต่างกัน โดยมักพบที่บริเวณกรวยไตและระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นผลมาจากปัสสาวะเข้มข้นและตกตะกอนเป็นนิ่ว ซึ่งมีโอกาสเป็นซ้ำได้
สาเหตุของนิ่วในไต
การมีแคลเซียมในปัสสาวะมากผิดปกติมีสาเหตุจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่
- การรับประทานอาหารแคลเซียม โปรตีน เกลือ และน้ำตาลสูงเกินไป
- ดื่มน้ำน้อย
- ใส่น้ำตาลในเครื่องดื่มมาก
- กินอาหารที่มีสารออกซาเลตยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม อาทิ ถั่ว หน่อไม้ ช็อกโกแลต ผักปวยเล้ง มันเทศ ฯลฯ
- กินวิตามินซีมากเกินกว่าวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานหนักมากเกินไป
- เกิดจากโรคแทรกซ้อนจากการเป็นโรคเกาต์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคอ้วนน้ำหนักเกิน และโรคเบาหวาน
สัญญาณอันตราย อาการเริ่มต้นของ “นิ่วในไต”
- ปวดเอวข้างที่มีก้อนนิ่ว ปวดหลังหรือช่องท้องส่วนล่างข้างใดข้างหนึ่ง โดยจะปวดเสียด ปวดบิดเป็นพักๆ
- มีไข้หนาวสั่น
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีปัสสาวะขุ่นแดงเป็นเม็ดทราย
- ปัสสาวะบ่อย หรือเมื่อปัสสาวะแล้วจะเกิดอาการเจ็บ
- ถ้าก้อนนิ่วตกลงมาที่ท่อไตจะมีอาการปวดในท้องรุนแรง
- แต่ในบางกรณีผู้ป่วยบางรายก็ไม่มีอาการแสดง
วิธีตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในไต
การตรวจวินิจฉัยมีหลายวิธี ได้แก่
- ตรวจปัสสาวะ หากพบเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นนิ่วในไต
- ตรวจเลือด ผู้ป่วยนิ่วในไต มักมีปริมาณแคลเซียมหรือกรดยูริกในเลือดมาก
- เอกซเรย์ช่องท้อง จะช่วยให้เห็นก้อนนิ่วบริเวณทางเดินปัสสาวะ
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ช่วยให้แพทย์เห็นก้อนนิ่วขนาดเล็ก
- อัลตราซาวนด์ไต ช่วยตรวจหาก้อนนิ่วในไตได้ชัดเจน 4) ตรวจเอกซเรย์ไตด้วยการฉีดสี (IVP) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุการเกิดนิ่วในไตและสามารถวางแผนเพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไตซ้ำ
วิธีรักษานิ่วในไต
การรักษาอาการนิ่วในไต ใช้วิธีการรักษาตามชนิดและสาเหตุ ได้แก่
- รักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด หากนิ่วมีขนาดก้อนเล็กมากอาจหลุดออกมาได้เอง โดยการดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อขับออกมาทางปัสสาวะ โดยแพทย์อาจพิจารณายาช่วยขับก้อนนิ่วตามความเหมาะสม
- การใช้เครื่องสลายนิ่ว (Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy : ESWL) เป็นการสลายนิ่วที่มีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงไปทำให้ก้อนนิ่วแตกตัวและขับออกมาทางปัสสาวะ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย วิธีนี้ควรรักษากับแพทย์ที่มีความชำนาญอย่างใกล้ชิด
- การส่องกล้องสลายนิ่ว (Ureteroscopy) เป็นการสลายนิ่วที่มีขนาด 3 เซนติเมตร โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีกล้อง Ureteroscopy เข้าไปทางท่อปัสสาวะเพื่อทำให้ก้อนนิ่วแตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ ขับออกมาทางปัสสาวะ
- การรักษาแบบผ่าตัด (PercutaneousNephrolithotomy : PCNL) ใช้ในกรณีที่ก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่และรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดด้วยการเจาะรูเล็กๆ บริเวณหลังของผู้ป่วยแล้วใช้กล้องส่อง เพื่อนำเครื่องมือสอดเข้าไปทำให้นิ่วแตกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นจึงคีบก้อนนิ่วออกมา
วิธีป้องกันโรคนิ่วในไต
เราสามารถป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากเพื่อช่วยลดโอกาสการตกตะกอนของก้อนนิ่ว
- กินแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติให้เพียงพอ
- เลี่ยงอาหารรสเค็ม
- ควบคุมการกินเนื้อสัตว์ นม เนย
- ผักก็ช่วยลดโอกาสการเกิดนิ่วได้
- สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อค้นหาความเสี่ยง ป้องกันก่อนเกิดโรคได้