สังเกตดีๆ หลังฉีดวัคซีน “อาการข้างเคียงกับอาการแพ้” ไม่เหมือนกัน
จากข้อมูลจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีน COVID-19 ของประเทศไทยในเวลานี้ จำนวนล่าสุดอยู่ที่ 13,464 ราย (ข้อมูลวันที่ 3 มี.ค. 2564 เวลา 18.00 น.) ซึ่งหลังจากที่ฉีดวัคซีนแล้ว พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์ หรืออาการข้างเคียง) รวมสะสมอยู่ที่ 119 ราย ในจำนวนนี้มีทั้งผู้ที่มีอาการรุนแรงและไม่รุนแรง
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง เป็นบุคลากรทางการแพทย์เพศหญิง อายุ 28 ปี พบอาการแพ้รุนแรงหลังจากได้รับวัคซีนไป 3 ชั่วโมง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และความดันต่ำ ข้อมูลที่พบก็คือบุคคลผู้นี้ มีประวัติประวัติแพ้ยา Penicillin (ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง ใช้ตามใบสั่งแพทย์) และ ณ เวลานี้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีแล้ว โดยการฉีดอะดรีนาลีน จึงมีอาการดีขึ้น และปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว
เมื่อติดตามข่าวจากหน้าเพจต่างๆ จะพบว่ายังประชาชนอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบว่าหลังจากที่ฉีดวัคซีนอาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ และยังไม่ทราบว่าอาการเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้หลายคนเกิดความวิตกกังวลว่าวัคซีนอาจจะไม่ปลอดภัย ฉีดแล้วอาจอันตรายถึงชีวิต ทั้งที่วัคซีนเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง และผลข้างเคียงน้อย เพราะฉะนั้น อาการข้างเคียงที่ว่านี้จึงพบได้ในบางราย
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 เผยตัวอย่างผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อได้รับวัคซีนชนิด mRNA ตัวเลขนี้อ้างอิงจากผู้ที่ได้รับวัคซีนและมีอาการข้างเคียงในสหรัฐอเมริกา ช่วง 0-7 วัน พบอาการต่างๆ ดังนี้
- ปวดบริเวณที่ฉีด 70.7 เปอร์เซ็นต์
- อ่อนเพลีย 33.4 เปอร์เซ็นต์
- ปวดศีรษะ 29.4 เปอร์เซ็นต์
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ 22.8 เปอร์เซ็นต์
- รู้สึกหนาว 11.5 เปอร์เซ็นต์
- เป็นไข้ 11.4 เปอร์เซ็นต์
- ปวดบริเวณข้อต่อ 10.4 เปอร์เซ็นต์
- คลื่นไส้ 8.9 เปอร์เซ็นต์
นั่นทำให้หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จะต้องนั่งรอสังเกตอาการก่อนประมาณ 30 นาที เพื่อดูว่าพบอาการข้างเคียงอย่างไรบ้าง ถ้ามีอาการดังข้างต้น ถือเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ หากไม่มี จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องติดตามอาการต่อไปอีกระยะ คือ 1 วัน 7 วัน และ 30 วันหลังจากได้รับวัคซีนเพื่อสังเกตอาการแพ้
มั่นใจได้ว่าวัคซีนปลอดภัย
ความจริงแล้ววัคซีนที่ผลิตขึ้นจนผ่านการขึ้นทะเบียน และนำมาใช้งานได้จริงนี้ มีความปลอดภัยอยู่แล้ว เพียงแต่เราอาจต้องเตรียมรับมือกับอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากวัคซีน ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมชนิดหนึ่ง ที่ถ้าฉีดเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะรับรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา จากนั้นจะไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน สร้างสิ่งที่เรียกว่าแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อจัดการกับสิ่งแปลกปลอม ทำให้ร่างกายเรามีภูมิต้านทานจากสิ่งแปลกปลอมนั้น
ซึ่งระหว่างที่ร่างกายกำลังทำความรู้จักกับสิ่งแปลกปลอมนี้เอง เป็นช่วงที่อาจเกิดอาการข้างเคียงขึ้นมา
อย่างไรก็ดี จะต้องรู้ด้วยว่า “อาการข้างเคียง” กับ “อาการแพ้” นั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้น ในผู้ที่ป่วยโรคภูมิแพ้ (ไม่ว่าจะแพ้อะไรก็ตาม) ห้ามฉีดวัคซีนโดยที่ยังไม่ปรึกษาแพทย์ และห้ามปิดบังประวัติการแพ้ของตนเองโดยเด็ดขาด เพราะคนที่มีอาการแพ้ จะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติที่เพียงแต่ได้รับผลข้างเคียง ในรายที่แพ้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ซึ่งภาวะแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงที่พบนั้นคือ
- มีผื่นขึ้น
- ความดันต่ำ
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก
- ชีพจรเต้นเร็ว
- มีไข้สูง
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- อาเจียนหนัก
- ชัก/หมดสติ
รักษาอย่างไร
ในผู้ที่มีอาการข้างเคียงไม่รุนแรง คุณไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ เช่น หากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือเป็นไข้ สามารถกินยาแก้ปวดประเภทพาราเซตามอลได้ หากมีอาการแพ้ไม่รุนแรง ก็อาจรับยาแก้แพ้ด้วย หากมีอาการบวม สามารถใช้วิธีประคบทำการรักษา หากมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกหนาว ก็ควรพักผ่อนให้มากขึ้น หลังจากนั้นอาการจะหายไปเองและจะเป็นปกติดี ไม่มีอะไรน่ากังวล
ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ นอกจากจะเกิดอาการข้างเคียงดังที่กล่าวไปแล้ว ร่างกายของผู้ป่วยจะตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมได้เร็วและรุนแรง ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ จึงต้องระวังให้มาก ดังนั้น หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว ต้องสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบ 30 วัน ว่ามีอาการข้างเคียงหรือเป็นอาการแพ้รุนแรงหรือไม่ เพื่อจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีหากมีอาการแพ้