ประโยชน์ของ "มันฝรั่ง" ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

ประโยชน์ของ "มันฝรั่ง" ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

ประโยชน์ของ "มันฝรั่ง" ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากพูดถึงมันฝรั่ง เรามักจะคุ้นเคยกับมันฝรั่งทอดในรูปแบบของขนมกรุบกรอบ หรือเฟรนซ์ฟราย ที่ใครหลายๆ คนก็มองว่าเป็นตัวร้ายทำลายสุขภาพ แต่แท้จริงแล้วมันฝรั่งมีประโยชน์มากกว่าที่เรารู้ๆ กัน และมันก็ไม่ใช่ตัวร้ายอย่างที่คิดด้วย

มันฝรั่ง ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ในปริมาณสูง ยิ่งโปรตีนที่ได้จากมันฝรั่งนั้นมีคุณภาพสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากถั่วลิสงเสียอีก ทำให้ชาวตะวันตกนิยมกินมันฝรั่งกันเป็นอาหาร ผ่านกรรมวิธีปรุงสุกทั้งต้ม อบ ผัด ทอด

ซึ่งถ้าหากเป็นมันฝรั่งธรรมดา ที่ทำให้สุกด้วยการต้มหรืออบ มันฝรั่งจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก แต่วิธีการทำให้สุกและพฤติกรรมการกินต่างหากที่ทำให้มันฝรั่งดูอันตราย โดยเฉพาะคนที่โปรดปรานการกินมันฝรั่งทอดโรยเกลือ เฟรนซ์ฟรายชีส หรือเฟรนซ์ฟรายปรุงรสผงเครื่องปรุงรสชาติต่างๆ ที่สำคัญ เฟรนซ์ฟรายแช่แข็งสำเร็จรูปก็อาจมีสารกันบูดด้วย

ประโยชน์ของมันฝรั่ง

สรรพคุณทางยา

ช่วยบำรุงหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง ด้วยธาตุเหล็กและวิตามินซีที่มีอยู่ในหัวมันฝรั่ง ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่าย ธาตุเหล็กจะช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีขึ้น (หัวมันฝรั่ง)

ใช้เป็นยาระงับประสาท บำรุงสมอง เพราะมีวิตามินบี 6 ที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ผลิตสารสื่อประสาทได้เป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน กาบา และอะดรีนาลีน ช่วยให้ผ่อนคลาย หลับง่าย ลดความเครียด แต่ไม่ควรกินมากจนเกินไป เพราะวิตามินซีจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง ท้องอืดเฟ้อได้ (หัวมันฝรั่ง)

วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน บำรุงผิว แก้คางทูม ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะมีกรดกาแล็กทูรอนิก ช่วยในการบีบตัวและการคลายตัวของลำไส้ ถอนพิษในตับ รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ขับน้ำนมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ให้นมบุตร มีแคลเซียม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน นอกจากนี้ชาวเปรูยังนำมันฝรั่งมาทาศีรษะเพื่อรักษาอาการปวดด้วย นอกจากนี้สารสำคัญในมันฝรั่งยังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราและแบคทีเรีย (หัวมันฝรั่ง)

แก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อในผู้ที่มีอาการไอ ช่วยให้นอนหลับสบาย (ใบ)

ประโยชน์ด้านความสวยความงาม

นอกจากมันฝรั่งจะไม่ได้เป็นตัวการทำให้อ้วนอย่างที่เคยเข้าใจ มันฝรั่งยังเป็นหนึ่งในอาหารตัวช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะมันฝรั่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่การกินมันฝรั่งจะช่วยให้อิ่มท้องได้นาน ไม่หิวง่าย ไม่กินจุบกินจิบ

การใช้ประโยชน์จากมันฝรั่ง นอกจากเรื่องรูปร่างแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวพรรณ เช่น มันฝรั่งมาฝานบางๆ ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา เนื่องจากมันฝรั่งมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยให้สีผิวอ่อนและจางลง ทำให้ผิวชุ่มชื้น โดยทำเป็นมาส์กหน้า ช่วย บำรุงผิวหน้า และทำให้ผิวเต่งตึง รูขุมขนกระชับ เลือดไหลเวียนได้ดี บ้างก็นำมันฝรั่งมาทำเป็นโลชั่นบำรุงผิว ลดความแห้งกร้าน ทั้งยังช่วยทำความสะอาดผิวได้อีกด้วย

การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ

มันฝรั่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่างทั้งที่เป็นอาหารและไม่ใช่อาหาร เช่น ทำแป้ง ทำขนมขบเคี้ยว ทำอาหารคาว ทำน้ำตาลกลูโคสและเดกซ์ทริน เป็นวัตถุเติมแต่งอาหาร หรือใช้ทำกาวและสารให้ความเหนียว ใช้ในอุตสาหกรรมการหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์และกรดซิตริก การทำล้อยาง การทำพลาสติก ฟิล์ม สีน้ำมัน ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมทอผ้า

แม้ว่ามันฝรั่งจะเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่หากบริโภคมากเกินไปก็เป็นโทษได้ โดยเฉพาะหัวมันฝรั่งที่มีรอยแผลเน่าสีดำ เขียวหรือเนื้อนิ่ม จะยิ่งทำให้ปริมาณของสารพิษชนิดนี้มีเพิ่มมากขึ้น ไปอีก จึงควรหลีกเลี่ยงการกินมันฝรั่งที่เก็บไว้นานเกินไป กินเข้าไปอาจเกิดอาการเป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากมีการวิจัยที่พบสารโซลานีนที่เป็นพิษต่อระบบประสาท หากร่างกายได้รับในปริมาณมาก ก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ

คุณค่าทางโภชนาการของมันฝรั่ง

มันฝรั่งดิบ 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ 

  • พลังงาน 77 กิโลแคลอรี่  (พลังงานจากไขมัน 0.9 กิโลแคลอรี่)
  • คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม
  • แป้ง 15.44 กรัม
  • ใยอาหาร 2.2 กรัม
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • โปรตีน 2 กรัม
  • น้ำ 75 กรัม
  • วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี3 1.05 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี5 0.296 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี6 0.295 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี9 16 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 19.7 มิลลิกรัม
  • วิตามินอี 0.01 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 1.9 ไมโครกรัม
  • แคลเซียม 12 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0.78 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 23 มิลลิกรัม
  • แมงกานีส 0.153 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 421 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 6 มิลลิกรัม
  • สังกะสี (ซิงค์) 0.29 มิลลิกรัม

มันฝรั่ง (จริงๆ ) ไม่ใช่วายร้าย

ความที่เราคุ้นเคยกับมันฝรั่งทอดในรูปของขนมกรุบกรอบยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง หรือมันฝรั่งหั่นแท่งที่เรียกว่าเฟรนซ์ฟราย เป็นมั่นฝรั่งที่ปรุงสุกด้วยวิธีการทอด (หรืออบเนย) รวมถึงมีการปรุงแต่งด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ หากเราบริโภคในปริมาณมากโดยไม่มีการควบคุม ก็อาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วนจากไขมันทรานส์ ตับทำงานผิดปกติ หรือความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีต้นเหตุมาจากไขมัน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ ไขมันอุดตันเส้นเลือด

ส่วนเครื่องปรุงรสต่างๆ ที่เราใช้เพิ่มรสชาติให้กับมันฝรั่งทอด อย่าง เกลือ ผงปรุงรสรสต่างๆ ล้วนมีรสเค็ม เช่น รสบาร์บีคิว รสชีส รสพิซซ่า รสปาปริกา หรือแม้แต่มายองเนสที่ใช้จิ้ม (ที่เราเรียกว่าชีสดิป) ก็หวานมันเค็ม ส่วนประกอบสำคัญอุดมไปด้วยไขมัน น้ำตาล และโซเดียม (เกลือ) หากบริโภคมากๆ ย่อมไม่ดีต่อร่างกาย เสี่ยงจะเป็นโรคอ้วน และโรคไตได้

ดังนั้น ที่ต้องควรระวังในการกินมันฝรั่ง ควรใส่ใจกับมันฝรั่งที่ปรุงสุกด้วยวิธีการทอดมากกว่า เพราะมีไขมัน และโซเดียมค่อนข้างสูง จึงควรกินแต่พอดี หรือใส่หม้อทอดไร้น้ำมันไปเลยหากอยากกินแบบทอด และคนที่มีโรคประจำตัวก็ควรระมัดระวังในการกิน

เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากได้รับประโยชน์จากมันฝรั่งจริงๆ ก็ควรใส่ใจกับวิธีการปรุงสุก เลือกการต้ม การอบ หรือนำใส่หม้อทอดไร้น้ำมัน แทนการนำไปทอดหรืออบเนย และหลีกเลี่ยงเครื่องปรุงรสไขมันสูง เค็มจัด หากต้องการให้มีรสชาติ ก็พยายามใช้ให้น้อยที่สุด จะเป็นผลดีต่อสุขภาพมากกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook