สวยไม่เสี่ยง! ลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ
สวยไม่เสี่ยง! ลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ
จากพฤติกรรมการกินอาหารแบบตะวันตก และการดำรงชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองกันน้อยลง โดยเฉพาะพฤติกรรมการกินอาหาร หวาน มัน เค็ม ไม่กินผัก และไม่ค่อยออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลหลายคนให้เกิดภาวะ โรคอ้วน ที่เสี่ยงต่อโรคภัยอย่างคาดไม่ถึง
คนไทยอ้วนขึ้นจริงๆ นะ
ต้องยอมรับว่าโรคอ้วน เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพมาแรงอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงสูงขึ้น จนหลายหน่วยงานต้องรีบออกมารณรงค์แก้ไข ให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น
จากผลการศึกษาล่าสุดของกรมอนามัย พบว่า กลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีภาวะอ้วนลงพุงเฉลี่ยร้อย 69.7 เป็นเพศชายร้อยละ 50.9 และเพศหญิงร้อยละ 75.2 เป็นผลให้คนไทยในเวลานี้ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีคนอ้วนสูงสุดแถบเอเชีย-แปซิฟิก คือประมาณ 10 ล้านคนและในรอบ 5 ปีมานี้พิษของความอ้วนยังทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน และมะเร็งเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
ขณะเดียวกัน กระแสความใส่ใจสุขภาพและความสวยความงามที่กำลังได้รับนิยมในปัจจุบัน ก็ทำให้คนไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลดความอ้วนมากกว่า 1,800 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 2551หรือเฉลี่ยคนละ 900-2,600 บาทต่อเดือน
ความอ้วน คืออะไร
เชื่อเลยว่าทุกวันนี้สาวๆ ไม่มีใครอยากอ้วนกันใช่ไหม แต่ความอ้วนก็มักจะถามหาคนกินตามใจปากอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินเนื้อสัตว์ ของทอด ของหวานมัน และแป้งที่ขัดขาวแล้ว ความอ้วนมักเริ่มที่แก้ม พุง สะโพก ต้นขา แล้วก็ลามไปทั่วตัว ทำให้น้ำหนักค่อยๆ เพิ่มๆ ขึ้น และมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ในลำดับแรก สาวๆ ควรทำความเข้าใจก่อนว่า “ความอ้วน” คือการที่มีปริมาณไขมันในร่างกายจำนวนมากเกินจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ปัจจุบันมีผลสำรวจรายงานว่า คนไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนมากถึง 29.7 % ของจำนวนประชากร สาเหตุของโรคอ้วนนี้มาจากหลายปัจจัยหลายประการได้แก่ กรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู จำนวนเซลล์ไขมันในร่างกาย พฤติกรรมการบริโภคอาหาร วัย และการขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ
ลดความอ้วนด้วยศาสตร์ธรรมชาติ
ยิ่งทุกวันนี้กระแสค่านิยมที่ว่า ความผอม คือความสวย ทำให้สาวๆ รูปร่างตุ้ยนุ้ย พยายามหาวิธีลดน้ำหนักให้กับตัวเองสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่วิธีการง่ายๆ อย่างการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ไปจนจ่ายเงินเข้าคอร์สลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน หรือแม้กระทั่งซื้อยาลดน้ำหนักมากินเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ แต่หลายคนก็ยอมเสี่ยง เพื่อความสวย จนมีข่าวว่าหลายคนกินยาลดความอ้วนมากเกินไป จนเกิดอาการช็อก และเสียชีวิตมาแล้ว อย่างเช่นล่าสุด กรณีนักศึกษาสาวจีน มหาวิทยาลัยชื่อดัง กินยาลดความอ้วนเกินขนาดจนเกิดอาการช็อกเสียชีวิตคาห้องพัก
แต่เพราะ Sanook! Women ไม่อยากให้เพื่อนๆ ลดน้ำหนักด้วยการกินยาลดความอ้วน ที่เสี่ยงและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต เราจึงรวบรวมศาสตร์ลดน้ำหนัก ที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพมาแนะนำกัน อาทิ
- ดลจิตลดความอ้วน หนึ่งในเทคนิคการลดความอ้วนของสาวๆ ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย วิธีการนี้เป็นการประยุกต์ศาสตร์ด้านจิตวิทยาและโภชนาการมาควบคุมพฤติกรรมการกิน โดยโปรแกรมนี้จะใช้เวลารักษาต่อเนื่องเดือนละ 21วัน และต้องรับการรักษาให้ครบคอร์สอย่างน้อย 3 เดือนหรือ 5 เดือน
- กินช้าๆ กินอาหารช้าๆ และเคี้ยวให้นานขึ้น เพื่อให้เราไดเซึมซับรสชาติให้มากที่สุด งดอาหารหวานๆ เพราะการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้อ้วนได้ แล้วเน้นกินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ และงดการกินจุบจิบในระหว่างมื้อ ให้ดื่มเปล่าเพียงอย่างเดียว ก็จะช่วยให้น้ำหนักค่อยๆ ลดลงได้
+ เล่นโยคะ หลายคนพอจะรู้อยู่แล้วว่า การเล่นโยคะ เป็นวิธีการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่ช่วยฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกิน การฝึกโยคะเป็นประจำก็จะช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายมากขึ้น โดยไม่มีผลกระทบต่อกระทบกระแทกของกระดูกและข้อต่างๆ เหมือนการเต้น T 25 การเต้นแอโรบิก วิ่งมาธาราธอน หรือขี่จักรยาน
+ ฝังเข็มลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักทางการแพทย์แผนจีน ที่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาทิ สะโพก ต้นขา ต้นแขน หรือหน้าท้อง เพราะการฝังเข็มจะช่วยในเรื่องดึงพลังงาน กระตุ้นพลังงานหรือเรียกว่าพลังงานลมปราณ (ชี่) ซึ่งเมื่อพลังงานวิ่งเลือดลม ก็จะวิ่งตาม และเมื่อพลังงานวิ่งดีเลือดลมก็วิ่งดีด้วย
ความอ้วนหรือน้ำหนักส่วนเกินกำลังเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของคุณสาวๆ ในยุคนี้ที่ต้องการกำจัดให้หมดไป ชนิดที่เรียกว่าหาทุกวิถีทางแทบพลิกแผ่นดินกันทีเดียว เพื่อและรูปร่างที่สวยงามและความมั่นใจ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ จุดมุ่งหมายปลายทางของการลดความอ้วน ไม่ใช่เพื่อความสวยหล่อเพียงอย่างเดียว แต่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรคต่างหาก คือสิ่งที่ทุกคนควรใฝ่ฝันและปรารถนา
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/