Home Isolation กักตัวที่บ้านอย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับ "โควิด-19"
-
เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ แนวคิดเรื่องการรักษาตัวเองจากที่บ้าน หรือ Home Isolation รวมถึงการดูแลรักษาใน Hospitel จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี และเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเอง คนในครอบครัวและชุมชนได้
-
ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและต้องดูแลตัวเองจากที่บ้าน หรือมีอาการไม่รุนแรงและต้องพักรักษาตัวที่ Hospitel รวมถึงคนทั่วไปที่ไม่ติดเชื้อ ก็มีความจำเป็นต้องดูแลตัวเองเช่นกัน โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ผ่าน Telehealth หรือ Telemedicine ซึ่งเป็นบริการทางการแพทย์ที่ช่วยดูแลสุขภาพทางไกลผ่านเครื่องมือสื่อสาร ที่มีบทบาทเป็นอย่างมากภายหลังสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19
ตั้งแต่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประเทศไทยกำหนดให้ผู้ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ทุกคนจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องตามขั้นตอน และเพื่อควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาดต่อไปยังบุคคลอื่น ซึ่งผู้ป่วยมีทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ
แต่เมื่อมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจากสถานการณ์การระบาดรอบใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2564) อีกทั้งยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงแต่อย่างใด จนโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเข้ารักษาได้ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อต้องรอเตียง ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต จึงมีการนำแนวคิดเรื่องการรักษาตัวเองจากที่บ้าน หรือ Home Isolation ให้กับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ รวมถึงการดูแลรักษาในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ หรือ Hospitel สำหรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง ให้สามารถดูแลรักษาตัวเองได้อย่างถูกวิธี และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังครอบครัวและชุมชนได้
ผู้ป่วยสีเขียว กับการทำ Home Isolation
พญ. ชนัญญา ศรีหะวรรณ์ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า Home Isolation คือ การดูแลตัวเองจากที่บ้าน สามารถทำได้ในผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการเท่านั้น เพื่อสังเกตอาการและควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง ทั้งนี้ เมื่อตรวจพบเชื้อ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินใช้แนวทางการดูแลตัวเองจากที่บ้านอย่างน้อย 14 วัน โดยผู้ติดเชื้อต้องมีอายุน้อยกว่า 60 ปี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีภาวะอ้วน (ภาวะอ้วน หมายถึง ดัชนีมวลกาย > 30 กก./ม.2 หรือ น้ำหนักตัว > 90 กก.) หรือเป็นผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง (CKD) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยผู้ป่วยต้องยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเองอย่างเคร่งครัด โดยต้องอยู่คนเดียว หรือมีผู้อยู่ร่วมที่พักไม่เกิน 1 คน ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้
- ห้ามออกจากบ้านและห้ามผู้ใดมาเยี่ยม
- งดการเข้าใกล้หรือสัมผัสเด็กและผู้สูงอายุอย่างเด็ดขาด
- แยกห้องพัก ของใช้ส่วนตัว และให้รับประทานอาหารในห้องของตนเอง
- กรณีไม่สามารถแยกห้องได้ ควรแยกบริเวณที่นอนให้ห่างจากคนอื่นมากที่สุด โดยไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทตลอดเวลาแทน
- สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อต้องออกมาจากห้อง
- ล้างมือด้วยสบู่ หรือทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ และต้องล้างทุกครั้งก่อนหยิบจับของใช้ที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
- แยกขยะ เนื่องจากขยะของผู้ติดเชื้อถือเป็นขยะติดเชื้อ รวมถึงแยกซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู และเครื่องนอน
- แยกใช้ห้องน้ำ หากเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้ห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย และล้างทำความสะอาดห้องน้ำทุกครั้งที่ใช้เสร็จ
- สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่คอนโดหรือหอพัก ควรแจ้งนิติบุคคลหรือเจ้าของหอพัก และงดออกจากห้องโดยเด็ดขาด
- หากใช้บริการเดลิเวอรี่ ต้องใส่หน้ากากทุกครั้งที่รับของ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับพนักงานส่งของ และล้างมือทุกครั้งหลังจากรับของ
- สิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะอยู่บ้านคนเดียวหรืออยู่กับครอบครัว ต้องไม่ลืม ‘สวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาด และเว้นระยะห่าง’ อยู่เสมอ
แนวทางการดำเนินการของโรงพยาบาล
- ประเมินความเหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อ
- ลงทะเบียนผู้ติดเชื้อโควิด-19
- มีภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) ในวันแรก (หากทำได้)
- พิจารณาให้ยาตามดุลยพินิจแพทย์ เช่น ยาพาราเซตามอล ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก รวมถึงปรอทวัดไข้และเครื่องวัดค่าออกซิเจนในเลือดสำหรับผู้ติดเชื้อ เพื่อวัดไข้และระดับออกซิเจนด้วยตนเองทุกวัน และรายงานต่อโรงพยาบาลผ่านช่องทางสื่อสารกับผู้ติดเชื้อ หรือการทำ telemedicine ที่มีประสิทธิภาพ
- วางแผนการติดต่อสื่อสารและจัดระบบส่งต่อผู้ติดเชื้อเข้าสู่โรงพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน หรือมีอาการมากขึ้น
อาการสำหรับผู้ป่วยกักตัวที่บ้านที่ควรรีบติดต่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
- Oxygen Saturation < 96%
- อุณหภูมิร่างกาย > 38 องศาเซลเซียส
- อาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก
- อาการเจ็บ ปวด แน่นหน้าอกอย่างต่อเนื่อง
- ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น ไม่ตอบสนอง
- เล็บและริมฝีปากซีดลง หรือมีสีคล้ำขึ้น
ผู้ป่วยสีเหลืองอ่อน กับการพักหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ หรือ Hospitel
ผู้ป่วยที่อยู่ใน Hospitel นั้น สามารถรับการดูแลรักษาและติดตามอาการโดยทีมบุคลากรทางการแพทย์ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วัน โดยการคัดเลือกผู้ป่วยเข้าพักที่ Hospitel นั้น ผู้ป่วยควรมีอาการตามเกณฑ์ ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง มีค่า SpO2 ≥ 96% ไม่มี/มีโรคร่วมที่ควบคุมได้ และมีอายุไม่เกิน 75 ปี
- ผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง มีค่า SpO2 ≥ 94% ไม่มี/มีโรคร่วมที่ควบคุมได้ และมีอายุไม่เกิน 65 ปี
- ผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 ไม่มี/มีอาการเล็กน้อย มีค่า SpO2 ≥ 92% ไม่มีโรคร่วม และมีอายุไม่เกิน 60 ปี
- ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการรุนแรงแล้วได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น ภายหลังอยู่โรงพยาบาล 7-10 วัน และให้พักต่อที่ Hospitel จนครบ 14 วัน
- สามารถสื่อสารได้รู้เรื่อง ดูแลตนเองได้ ไม่ก้าวร้าว และไม่มีความเสี่ยงทางจิตเวช
- มีโรคประจำตัวที่ควบคุมได้ และมียารับประทานมาด้วย
กรณีที่มีความจำเป็นเรื่องจำนวนเตียง ให้สถานพยาบาลพิจารณาตามดุลพินิจของแพทย์ โดยพิจารณา ตามความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นประเด็นหลัก
โดย โรคร่วมที่สำคัญ ดังกล่าวข้างต้น มีดังต่อไปนี้
- ภาวะอ้วน (30<ดัชนีมวลกาย กก./ม.2 หรือ น้ำหนักตัว 100< กก.)
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) รวมถึงโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
- โรคหอบหืด
- โรคภูมิแพ้รุนแรง
- โรคไตเรื้อรัง (CKD)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคหัวใจแต่กำเนิด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ตับแข็ง
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- Lymphocytes น้อยกว่า 1,000 เซลล์/ลบ.ม.
แนวทางการดำเนินการของโรงพยาบาล
- ประเมินความเหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อ
- ลงทะเบียนผู้ติดเชื้อโควิด-19
- มีภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) ในวันแรก (หากทำได้)
- จะมีปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด และเครื่องวัดความดันโลหิตให้ผู้ติดเชื้อทุกท่าน รวมถึงเครื่องผลิตออกซิเจนเป็นกรณีไป
- การให้ยาต่างๆ กับผู้ติดเชื้อ เช่น ยาต้านไวรัส ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์
- จัดเตรียมระบบสื่อสารผ่านช่องทางสื่อสารกับผู้ติดเชื้อ หรือการทำ telemedicine ที่เหมาะสม
- วางแผนและจัดระบบส่งต่อผู้ติดเชื้อเข้าสู่โรงพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน หรือมีอาการมากขึ้น
**ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2021
เตรียมใจให้พร้อมรับกับการกักตัว
จากรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 พบว่า เชื้อในตัวผู้ติดเชื้อมีความสามารถในการแพร่กระจายสู่บุคคลอื่นในระยะเวลา 14 วันหลังจากติดเชื้อ ซึ่งหลังจาก 14 วันแล้ว โอกาสการแพร่กระจายเชื้อลดลงมาก แต่เชื้อยังคงอยู่ในตัวผู้ติดเชื้อได้ ดังนั้น จึงมีคำแนะนำให้ผู้ป่วยดูอาการตนเองและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลา 14 วัน ตามระยะเวลาของการเกิดการติดเชื้อ
นอกจากความวิตกกังวลจากการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว การที่ต้องแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน อาจเพิ่มความเหงาและความเครียดให้ผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น การหาสิ่งผ่อนคลายตนเองจึงมีความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องดูแลตัวเองจากที่บ้านและ hospitel เช่น
- การติดต่อสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัวผ่านโทรศัพท์และ Social Media อย่างสม่ำเสมอ
- การออกกำลังกายง่ายๆ ภายในบริเวณบ้าน เช่น เต้น โยคะ บอดี้เวทเทรนนิ่ง ช่วยลดความเครียด และทำให้มีสุขภาพดี
- ทำกิจกรรมที่ชอบและสามารถทำคนเดียวได้ เช่น ดูภาพยนตร์ ซีรีส์ ฟังเพลง
- วางแผนกิจกรรมต่างๆ ภายในระยะเวลา 10-14 วัน
- เตรียมอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และงดการดื่มแอลกอฮอล์
- ทำจิตใจให้แจ่มใส เบิกบาน
- วางแผนและเตรียมความพร้อมกรณีมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
New Normal กับยุค Telehealth
นอกจากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและต้องดูแลตัวเองจากที่บ้าน บุคคลปกติที่ไม่ติดเชื้อก็มีความจำเป็นต้องดูแลตัวเองด้วยความระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการ Social Distancing ที่ยังจำเป็นต้องทำอย่างเคร่งครัด ไม่ออกไปยังสถานที่เสี่ยงต่างๆ
Telehealth หรือการดูแลสุขภาพทางไกลผ่านเครื่องมือสื่อสารจึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ผู้มีความกังวลที่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เช่น
- ให้คำปรึกษา ติดตามอาการ และแปลผลตรวจสุขภาพกับแพทย์ผ่านระบบ Virtual Hospital
- ให้บริการเจาะเลือด ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ส่งยา ทำกายภาพบำบัด ทำแผลและอื่นๆ
- ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก ด้วยอุปกรณ์วัดค่าสุขภาพ เพื่อลดโรคแทรกซ้อนและการกลับมาเป็นซ้ำ ช่วยให้ผู้ที่ดูแลอุ่นใจได้
สำหรับประเทศไทย Telehealth ถูกนำมาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะกับการรักษาพยาบาล (Telemedicine) แต่ส่วนใหญ่เน้นไปที่การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เนื่องจากยังมีข้อจำกัดหลายๆ ด้าน หนึ่งในข้อจำกัดที่สำคัญ คือ การที่แพทย์ไม่สามารถตรวจร่างกายผู้ป่วยได้เองโดยตรง จึงเป็นเรื่องยากในการวินิจฉัยโรคและตัดสินใจให้การรักษาอย่างถูกวิธี