วิธีสังเกตุ ผื่นแบบไหน เสี่ยง “ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง”
วิธีสังเกตผื่นผิวหนังตัวเอง แค่คันๆ เป็นผื่นเล็กน้อย หรือเป็นโรคผื่นผิวหนังที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน
ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือที่เรียกว่า Atopic Dermatitis มากกว่า 230 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งพบได้ในทุกช่วงอายุ ในประเทศไทยพบบ่อยที่สุดในเด็กทารกจนถึง 3 ขวบปีแรก และพบว่ามีเด็กไทยอายุ 6-12 ปี ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ร้อยละ 16.51 และพบน้อยลงในอายุ 13-17 ปี อยู่ที่ร้อยละ 12.79 ซึ่งหากไม่รีบทำการรักษาและดูแลให้ถูกวิธีตั้งแต่เนิ่นๆ อาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นหรือเป็นเรื้อรังจนถึงตอนโตได้ ฉะนั้นการพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการบรรเทาลง กลับมามีความมั่นใจในการใช้ชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
นพ. กันย์ พงษ์สามารถ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ โรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการว่ามีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนังมากกว่า 230 ล้านคนทั่วโลก แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ โรคนี้กลับถูกมองข้าม โดยทั่วไปมักมองว่าเป็นแค่ความผิดปกติของผิวหนังภายนอก แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การรณรงค์สร้างการรับรู้ในวงกว้างอย่างต่อเนื่องจึงเสมือนพลังขับเคลื่อนเพื่อให้วงการแพทย์ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาชนได้เริ่มหันมาใส่ใจและดูแลผู้ป่วยโรคนี้มากยิ่งขึ้น
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นมากกว่าอาการคันที่ผิวหนัง
โดยในความเป็นจริงแล้ว โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นมากกว่าอาการคันที่ผิวหนัง โรคนี้มีกระบวนการของการดำเนินโรคอย่างเป็นระบบ ซึ่งได้แบ่งชั้นของความรุนแรงของโรคเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ รุนแรงน้อย รุนแรงปานกลาง และรุนแรงมาก ซึ่งมีปัจจัยหรือตัวแปรที่เข้ามากระตุ้นความรุนแรงของโรคได้ในหลายมิติ
ที่สำคัญโรคนี้ยังส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยเองทั้งในด้านสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ นับรวมถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิต และคุณภาพชีวิต ไม่เพียงเท่านั้นโรคนี้ยังส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ครอบครัวผู้ป่วยอีกด้วย
ผื่นแบบไหน เสี่ยงผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
แนะนำให้ผู้ปกครองควรสังเกตลูกว่ามีอาการของผิวหนังอักเสบ ดังนี้
- ผิวหนังแห้ง แดง คัน โดยอาการคันจะเด่น
- ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีอาการคันยุบๆ ยิบๆ จนไม่สามารถนั่งอยู่นิ่งๆ ได้
- สามารถเกิดอาการคันขึ้นได้บริเวณผิวหน้า แขน ขา ข้อพับ ซอกคอ มือ เท้า รอบใบหู หรือศีรษะ
- ในรายที่มีอาการรุนแรงก็จะมีผื่นขึ้นได้ทั้งตัว หรือมีน้ำเหลืองเยิ้มตามผิวหนัง
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจร่วมด้วย
โดยผู้ปกครองควรพาบุตรหลานมาปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลให้มีอาการรุนแรงขึ้นในระยะยาว
ผื่นผิวหนังที่หาสาเหตุไม่ได้
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของการเกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน อาทิ
- ปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยภายในของผู้ป่วยที่เกิดความผิดปกติของผิวหนังร่วมกับการมีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในกรณีที่บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งมีประวัติเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง บุตรก็มีโอกาสเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง สูงกว่าคนปกติ 2-3 เท่า แต่หากบิดาและมารดาเป็นผู้ป่วยโรคนี้ทั้งคู่ บุตรก็มีโอกาสเป็นสูงกว่าคนปกติ ถึง 3-5 เท่า
- ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการกำเริบ โดยผู้ป่วยแต่ละรายจะมีปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกันไป ปัจจัยกระตุ้นที่พบได้บ่อย เช่น ภาวะอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด การติดเชื้อที่ผิวหนัง การแพ้สารเคมีบางชนิด การใส่เสื้อผ้าที่ระคายเคือง หรือสัมผัสสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เป็นต้น
วิธีรักษาโรคผื่นผิวหนัง
ยังไม่มีวิธีการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังให้หายขาดได้ โดยแนวทางการรักษาที่ผ่านมาจึงเป็นเพียงการรักษาผิวหนังที่อักเสบให้กลับมาเป็นผิวหนังที่ปกติ และป้องกันการกำเริบซ้ำของผื่น โดยแพทย์จะใช้วิธีบรรเทาโรคตามอาการที่เกิดขึ้น อาทิ
- ใช้ครีมมอยซ์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอาการคัน
- ในกลุ่มที่มีอาการมากขึ้น ก็ต้องใช้ยาทาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง
- บางรายที่มีบริเวณผื่นคันหลายตำแหน่งเป็นวงกว้างก็อาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันร่วมด้วย ซึ่งในกลุ่มยาทาสเตียรอยด์ และยากดภูมิคุ้มกัน ก็จะมีข้อจำกัดเพราะหากมีการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลข้างเคียง อาจกระทบต่อภาวะการเจริญเติบโตของเด็ก
นอกจากนี้ ยังมีวิธีใช้ยากลุ่มชีวภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่นับว่ามีประสิทธิภาพมาก โดยนวัตกรรมรูปแบบใหม่นี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้รักษาโรคในกลุ่มภูมิแพ้ชนิดเดียวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือวิธีนี้สามารถยังช่วยลดการใช้สเตียรอยด์รวมถึงลดการใช้ยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งที่ควบคุมโรคไม่ได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมามีอาการที่ดีขึ้นและกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติหากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง