วัคซีน "โมเดอร์นา" เหมาะกับใคร มีผลข้างเคียงหรือไม่
Moderna (โมเดอร์นา) เป็นวัคซีนทางเลือกประเภท mRNA ที่ผลิตโดยบริษัทโมเดอร์นาทีเอ็กซ์ (ModernaTX, Inc.) ประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทย ได้มีการอนุมัติการใช้วัคซีนชนิดนี้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 วัคซีนโมเดอร์นามีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 (COVID-19) เพื่อให้วัคซีนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรได้รับวัคซีนจำนวน 2 โดส ห่างกัน 28 วัน หากพบอาการผิดปกติหลังฉีดวัคซีน เช่น หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ควรแจ้งให้คุณหมอทราบทันที เพื่อความปลอดภัย
วัคซีน Moderna คืออะไร
Moderna (โมเดอร์นา) คือ วัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตจากสารพันธุกรรมของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์ให้ผลิตสารโปรตีนสไปค์ (Spike Protein) เป็นการจำลองลักษณะของไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายโดยที่ไม่มีการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านเชื้อไวรัส เมื่อฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อแขน วัคซีนจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันผลิตแอนติบอดีที่ช่วยจัดการเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 (COVID-19) จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการเกิดอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อได้
ผู้ที่รับวัคซีน Moderna อาจจำเป็นต้องรับวัคซีน 2 โดส ห่างกัน 28 วัน เว้นแต่ว่าผู้ป่วยจะมีประวัติเกี่ยวกับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่อาจจำเป็นต้องได้รับวัคซีน 3 โดส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอ
สำหรับบางคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนชนิดอื่นมาครบโดสแล้ว และมีความจำเป็นหรือมีความประสงค์ประสงค์จะรับวัคซีน Moderna เป็นวัคซีนบูสเตอร์ หรือบูสเตอร์โดส (Booster Dose) เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน อาจต้องรออย่างน้อย 6 เดือนหลังรับวัคซีนชนิดอื่นครบโดสแล้ว ทั้งนี้ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
ส่วนผสมในวัคซีน Moderna
ส่วนผสมของวัคซีนโมเดอร์นาที่ควรศึกษาก่อนฉีด เพื่อป้องกันอาการแพ้ มีดังนี้
- เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) ย่อมาจาก Messenger ribonucleic acid คือ สารพันธุกรรมที่ระบุรหัสไกลโคโปรตีนไวรัส SARS-COV-2 ดัดแปลงและเรียงตัวให้เป็นระบบในรูปแบบนิวคลีโอไซด์ (Nucleoside) เพื่อทําหน้าที่กําหนดลําดับและชนิดของกรดอะมิโนภายใน ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโปรตีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตามรหัส
- ไขมัน เต็มไปด้วยองค์ประกอบของสารสังเคราะห์ที่ช่วยให้ mRNA เข้าสู่เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันได้ ดังนี้
- โพลีเอทิลีนไกลคอล (PEG2000-DMG)
- 1,2-Distearoyl-sn-glycero-3-phosphocholine (DSPC)
- โบทานิค (BotaniChol ®)
- SM-102: heptadecane-9-yl 8-((2-hydroxyethyl) (6-oxo-6-(undecyloxy) hexyl) amino) octanoate
- สารเพิ่มความคงตัว เกลือ น้ำตาล และกรดอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบในวัคซีนโมเดอร์นาที่ช่วยรักษาโมเลกุลของวัคซีนให้คงที่ในขณะถูกจัดเก็บก่อนนำมาฉีด
-
- โซเดียมอะซิเตท (Sodium Acetate)
-
- ซูโครส (Sucrose)
-
- ทรอเมทามีน ไฮโดรคลอไรด์ (Tromethamine hydrochloride)
-
- ทรอเมทามีน (Tromethamine)
-
- กรดอะซิติก (Acetic Acid)
วัคซีนโมเดอร์นาไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรค เซลล์เนื้อเยื่อ โปรตีนจากอาหาร น้ำยาง และโลหะ เช่น สารปรอท เจลาติน ไข่ ถั่ว นิกเกิล ไททาเนียม ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ผู้ที่แพ้สารเหล่านี้จึงอาจรับวัคซีน Moderna ได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้ารับวัคซีน Moderna ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ และภาวะสุขภาพให้คุณหมอทราบอย่างละเอียด คุณหมอจะได้ประเมินว่าสามารถรับวัคซีนชนิดนี้ได้หรือไม่
วัคซีน Moderna เหมาะสำหรับใคร
วัคซีนโมเดอร์นาอาจเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคตับ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อโควิด-19ได้ง่ายและเชื้ออาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังแนะนำให้สตรีตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตรเข้ารับการฉีดวัคซีน Moderna ได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดให้นม แต่ควรได้รับการประเมินภาวะสุขภาพจากคุณหมอก่อน
สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้ที่มีประวัติเกี่ยวกับอาการแพ้ ไม่ควรรับวัคซีน Moderna หรือวัคซีนประเภท mRNA เนื่องจากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ทางผู้ผลิตกำหนดไว้ จึงอาจเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงรุนแรงจากวัคซีนได้
ประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ของวัคซีน Moderna
ผลการวิจัยในคน พบว่า หลังจากผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีน Moderna ครบ 2 โดส อาจทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าถึง 94.1% ในขณะที่วัคซีน Pfizer มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าประมาณ 88%
หากร่างกายได้รับวัคซีนชนิดอื่นแล้ว เช่น แอสตร้าเซนเนก้า และร่างกายตอบสนองได้ดี มีระบบภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น การฉีดวัคซีนสูตรไขว้อาจไม่จำเป็นเสมอไป แต่หากระบบภูมิคุ้มกันไม่ตอบสนองต่อวัคซีนชนิดแรก ก็อาจรับวัคซีน Moderna เป็นวัคซีนโดสที่ 2 ได้ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ยังอยู่ในช่วงทดสอบประสิทธิภาพ และยังไม่มีหลักฐานยืนยันความปลอดภัยอย่างชัดเจน ดังนั้น ก่อนฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ควรปรึกษาคุณหมอว่าควรเว้นระยะเวลาเท่าใดจึงจะสามารถฉีดวัคซีนที่ต่างกันในโดสที่ 2 ได้ และควรแจ้งให้คุณหมอทราบถึงประเภทของวัคซีนชนิดแรก และอาการหลังฉีดวัคซีน รวมถึงโรคประจำตัว เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงรุนแรง
ผลข้างเคียงของวัคซีน Moderna
หลังจากฉีดวัคซีน Moderna แต่ละโดส คุณหมอหรือพยาบาลอาจแนะนำให้นั่งพักเพื่อรอดูอาการประมาณ 15 นาที ส่วนใหญ่อาจมีอาการบวมแดง รู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด มีไข้คล้ายไข้หวัด หนาวสั่น ปวดศีรษะ ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้าง่าย เป็นต้น อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและอาจหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน ถึงแม้วัคซีน Moderna จะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง แต่บางคนก็อาจเผชิญกับผลข้างเคียงที่พบได้ยาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ควรรีบเข้าพบคุณหมอในทันที
ผลข้างเคียงระดับรุนแรง มีดังนี้
- ลมพิษ และอาการคันผิวหนัง
- ริมฝีปาก ใบหน้า ลิ้น ทางเดินหายใจมีอาการบวม
- หายใจลำบาก
- อาเจียน
- ปวดท้อง ท้องเสีย
- ความดันโลหิตต่ำอย่างรวดเร็ว
- อัตราการเต้นหัวใจถี่ขึ้น
- หมดสติ
- รู้สึกใบหน้าชา หรือเป็นอัมพาต
- เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ