"เจ็บคอ" แบบไหน กินยาปฏิชีวนะได้
การกินยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการเจ็บคอทั้งที่ไม่จำเป็น เป็นหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า คนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) มักมีอาการเจ็บคอจากไวรัส ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ (ยาต้านแบคทีเรีย) ในการรักษา เพราะนอกจากจะไม่ส่งผลต่อการรักษาแล้วยังอาจทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาด้วย
"เจ็บคอ" แบบไหน กินยาปฏิชีวนะได้
เจ็บคอจากการติดเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ
มีอาการดังนี้
- คอแดง
- ทอนซิลบวมแดง
พร้อมอาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่
- มีไข้ต่ำๆ
- ไอ
- น้ำมูกไหล
- เสียงแหบ
- อ่อนเพลีย
อาการเจ็บคอจากเชื้อไวรัส สามารถพบได้บ่อยกว่า จากการเจ็บคอเพราะเป็นไข้หวัดธรรมดา ควรพักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ สามารถกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เพื่อบรรเทาอาการระคายคอ ถ้าไอหรือมีน้ำมูกมาก อาจกินยาแก้ไอหรือยาแก้แพ้ โดยทั่วไปมักหายเองได้ภายใน 7-14 วัน
เจ็บคอจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย อาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
มีอาการดังนี้
- คอแดง
- มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล
- ทอนซิลบวมแดง
พร้อมอาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่
- มีไข้มากกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ไม่มีอาการไอ
- ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรหน้า บวมโตขึ้นหรือกดเจ็บ
อาการเจ็บคอจากเชื้อแบคทีเรีย พบได้ไม่บ่อยเท่าเจ็บคอจากเชื้อไวรัส ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อประเมินความจำเป็นของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
ทั้งนี้ ยาต้านจุลชีพ ได้แก่ ยาต้านแบคทีเรียหรือยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา ยาต้านปรสิต
พวกเราทุกคนสามารถลดเชื้อดื้อยาได้ โดยหยุดพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะเสี่ยงทำให้เกิดเชื้อดื้อยา
- ซื้อยาต้านจุลชีพกินเอง เช่น ยาต้านแบคทีเรียหรือยาปฏิชีวนะ
- ซื้อยาต้านจุลชีพตามคนอื่น
- รับประทานยาต้านจุลชีพไม่ครบขนาดหรือระยะเวลาการรักษา
- ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของการรับประทานยาต้านจุลชีพที่ถูกต้องและเหมาะสม
- อมยาอมที่ผสมยาฆ่าเชื้อ
- เอายาต้านจุลชีพชนิดรับประทานมาโรยแผล
- ใช้ยาต้านจุลชีพในปศุสัตว์
ดังนั้นหากสงสัยภาวะติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อประเมินความจำเป็นของการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ