7 อาการนอนผิดปกติที่ควรทำ Sleep Test
การนอนหลับไม่เพียงพอ ไม่สดชื่น ไม่กระปรี้กระเปร่า หรือนอนมากจนเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณร้ายก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพทั้งสิ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว การนอนที่ถูกต้องตามหลักสากล คือการนอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ด้วยเหตุนี้ ปัญหาการนอนจึงเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะส่งผลให้เกิดอารมณ์แปรปรวนแล้ว อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตามมาได้ อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ความดันในปอดสูง โรคหลอดเลือดสมอง
นอกจากนี้ ภาวะคุณภาพการนอนที่ไม่ปกติ ยังอาจนำไปสู่การเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นอาการอย่างหนึ่งของกลุ่มอาการภาวะหายใจผิดปกติขณะนอนหลับ ที่เมื่อนอนหลับแล้วร่างกายจะเกิดความผิดปกติทางการหายใจ อย่างเช่น มีการหยุดหายใจขณะหลับ หรือเกิดการหยุดหายใจเป็นพักๆ ตลอดทั้งคืน ทำให้อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายขาดออกซิเจน จนเป็นสาเหตุของโรคนอนไม่หลับและอื่นๆ อีกหลายโรค ปัจจุบันในทางการแพทย์ จึงมีการเลือกใช้วิธี ตรวจการนอนหลับ หรือ Sleep test ซึ่งเป็นการตรวจที่จะบอกถึงการทำงานของร่างกายในระหว่างนอนซึ่งสามารถบอกถึงความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับเพื่อนำไปสู่การดูแลและรักษาได้อย่างถูกต้อง
ขั้นตอนการตรวจการนอนหลับ (Sleep Test)
พญ.เพชรรัตน์ แสงทอง แพทย์ผู้ชำนาญการ ด้าน โสต ศอ นาสิกวิทยาและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายให้เราฟังว่า
Sleep test คือ การตรวจการนอนหลับ เพื่อสังเกตการทำงานของร่างกาย และหาสาเหตุของความผิดปกติต่างๆ ในระหว่างการนอนหลับ ด้วยการใช้เครื่องมือเฉพาะที่สามารถบอกความผิดปกติของการนอนหลับร่วมกับการดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง และนักเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญด้านการนอน โดยในขั้นตอนจะมีการติดอุปกรณ์เฉพาะที่ใช้บันทึกการทำงานของร่างกายขณะนอนหลับ ได้แก่
- ความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด
- การหายใจเข้าออกทั้งทางจมูกและทางปาก
- คลื่นไฟฟ้าสมอง
- คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- การขยับของกล้ามเนื้อตา แขน ขาและกราม
- บันทึกวิดีโอเพื่อสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติระหว่างนอนหลับ
โดยส่วนใหญ่ เจ้าหน้าที่ประจำห้องตรวจ จะเริ่มทำการติดตั้งเครื่องและตัวตรวจวัดต่างๆ โดยจะใช้เวลาประมาณ 45 – 60 นาที
เมื่อตรวจ Sleep test เสร็จแล้วแพทย์จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์และแปลผลการตรวจ เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ พร้อมทั้งประเมินความรุนแรง เช่น
- การหยุดหายใจขณะหลับ
- ระดับออกซิเจนในเลือดขณะหลับ
- ภาวะเคลื่อนไหวและพฤติกรรมผิดปกติขณะหลับ
- นอนแขนขากระตุกขณะหลับ
- การละเมอ
- ภาวะนอนไม่หลับ
- ความผิดปกติของการนอนหลับอื่นๆ
ซึ่งในการตรวจนี้สามารถทราบถึงความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ในระหว่างการนอนอื่นๆ ได้ อาทิเช่น นอนกัดฟัน ตลอดจน ภาวะชักขณะหลับ
กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจการนอนหลับ (Sleep Test)
ผู้ที่มีกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจ Sleep test คือ
- กลุ่มผู้ที่เสี่ยงจะเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (obstructive sleep apnea; OSA)
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักตัวเกิน
- ผู้ที่แพทย์สงสัยว่าอาจมีภาวะชักขณะนอนหลับหรือเป็นโรคลมหลับ (narcolepsy)
- ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับที่ยังรักษาไม่ได้ หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น หัวใจวาย ไตวาย ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น
7 อาการนอนผิดปกติที่ควรทำ Sleep Test
ผู้ที่ต้องการเข้ารับคำปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจ Sleep test สามารถพิจารณาว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงได้ โดยสังเกตอาการผิดปกติดัง ต่อไปนี้
- นอนกรน
- มีเสียงกรนหยุดเป็นพักๆ พลิกตัวบ่อยๆ
- หายใจลำบากและสงสัยว่ามีการหยุดหายใจขณะหลับ
- ง่วงนอนช่วงกลางวันมากผิดปกติ ทั้งที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ตื่นเช้าไม่สดชื่น มีอาการปวดหัวหลังตื่นนอน และรู้สึกอ่อนเพลียหลังตื่นนอนบ่อยๆ
- มีพฤติกรรมการนอนที่ผิดปกติ เช่น แขนขากระตุกระหว่างนอนหลับ นอนกัดฟัน นอนละเมอ หรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ
- นอนหลับยาก หรือรู้สึกนอนหลับได้ไม่เต็มที่บ่อยๆ มากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
จากอาการข้างต้น มี แบบทดสอบที่ได้รับการยอมรับในการประเมินความง่วงที่ผิดปกติ ชื่อว่า Epworth sleepiness scale เพื่อประเมินความง่วง ที่อาจมีสาเหตุจากความผิดปกติในการนอนหลับ ซึ่งประกอบด้วยชุดคำถามที่จะช่วยให้สามารถประเมินตัวเองและคนรอบข้างเบื้องต้นได้
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจการนอน (Sleep Test)
การเตรียมตัวก่อนตรวจ Sleep test มีข้อปฏิบัติโดยทั่วไป ดังนี้
- อาบน้ำชำระล้างร่างกายและสระผมให้สะอาดก่อนเข้าตรวจ โดยห้ามใส่น้ำมันหรือทาครีมใดๆ เพราะอาจรบกวนการติดอุปกรณ์การตรวจ
- งดชา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการงีบหลับในช่วงกลางวันของวันที่มาตรวจ เพื่อให้สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มที่
- จดชื่อและขนาดยา พร้อมทั้งนำยาทุกชนิดที่รับประทานอยู่มาด้วย (หากมีข้อสงสัยเรื่องยา ควรปรึกษาแพทย์ผู้ตรวจ
ปัจจุบันถือว่าการตรวจ Sleep test เป็นการตรวจที่เป็นมาตรฐานสากล (gold standard) ในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น(obstructive sleep apnea; OSA), การกระตุกของกล้ามเนื้อต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติระหว่างการนอนหลับ เพื่อให้แพทย์สามารถนำผลการตรวจไปวางแผน หรือติดตามการรักษาได้อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นข้อมูลในการตั้งค่าความดันลมในผู้ที่ใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) เพื่อช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจในขณะนอนหลับ หรือการปรับระดับของเครื่องมือในช่องปาก(oral appliances) ในผู้ที่มีโรคหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น รวมทั้งยังใช้พิจารณาเลือกวิธีการผ่าตัดทางเดินหายใจและใช้ติดตามผลการรักษา ตลอดจนช่วยในการวินิจฉัยโรคความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการนอน และตรวจคุณภาพการนอนได้อีกด้วย