8 วิธีรักษา “มะเร็ง” รู้เร็ว รักษาเร็ว หายได้
ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งเพื่อคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยจึงไม่เคยหยุดยั้ง ซึ่งหากรู้เร็ว รักษาเร็ว ย่อมช่วยเพิ่มโอกาสการหายและการรอดชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดเซลล์มะเร็ง อายุ และสุขภาพของผู้ป่วย
ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ เป็นโรคที่เกิดจากการมีเซลล์ผิดปกติในร่างกายและเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ จึงเจริญลุกลามและแพร่กระจายทั่วร่างกาย ส่งผลให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด ได้แก่ ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก และไขกระดูก
ในปีที่ผ่านมามะเร็งที่พบมากที่สุดในโลกคือมะเร็งปอด และมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนไทยคือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี และมะเร็งเต้านมพบมากที่สุดในผู้หญิง ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพคือ การรักษาที่เข้าถึงผู้ป่วยมะเร็งทุกคนได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเป้าหมายที่ต้องการให้ผู้ป่วยกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างยืนยาว ปิดทุกช่องว่างสุขภาพ เติมเต็มการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
8 วิธีรักษา “มะเร็ง” รู้เร็ว รักษาเร็ว หายได้
ปัจจุบันการรักษามะเร็งมีหลายวิธี ได้แก่
- การผ่าตัด (Surgery)
การผ่าตัด เป็นวิธีรักษามะเร็งเฉพาะที่ ซึ่งมีการพัฒนาการผ่าตัดให้ไม่สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียน้อยที่สุด ที่สำคัญปัจจุบันมีเทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก ที่ให้ผลการรักษาเทียบเท่าการผ่าตัดแบบแผลเปิด แต่แผลเล็ก เจ็บน้อย เสียเลือดระหว่างผ่าตัดลดลง ฟื้นตัวไว ลดการเกิดผลแทรกซ้อนและการติดเชื้อจากการผ่าตัด ผู้ป่วยมะเร็งจึงคลายความกังวลจากการผ่าตัดรักษาได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เป็นสำคัญ
- รังสีรักษา (Radiotherapy)
รังสีรักษา หรือการฉายแสงเป็นการใช้รังสีกำลังสูงเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งที่กำหนด โดยแพทย์รังสีรักษาจะวางแผนการให้ปริมาณรังสีที่มีผลข้างเคียงกับผู้ป่วยน้อยที่สุด การใช้รังสีรักษาสามารถรักษามะเร็งบางชนิดให้หายขาด บรรเทาอาการจากมะเร็ง อาทิ ลดความเจ็บปวด หยุดการไหลของเลือด เป็นต้น อีกทั้งยังรักษาภาวะเร่งด่วนที่เกิดจากโรคมะเร็งได้ ซึ่งปัจจุบันรังสีรักษาได้พัฒนาไปมากเพื่อให้รักษาได้ถูกต้องตรงตำแหน่งและลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย
- เคมีบำบัด (Chemotherapy)
เคมีบำบัด เป็นการรักษาโดยการให้ยา (สารเคมี) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยยาเคมีบำบัดจะเข้าไปขัดขวางการแบ่งเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวเร็วกว่าเซลล์ปกติจึงอาจมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนอกจากยาเคมีบำบัดจะช่วยให้หายขาด ยังสามารถให้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดก้อนมะเร็ง และใช้รักษาเสริมหลังผ่าตัดเพื่อลดโอกาสมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ
- ฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)
ฮอร์โมนบำบัด เป็นการใช้ฮอร์โมนเพื่อยับยั้งหรือยุติการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งใช้ได้ในการรักษามะเร็งบางชนิดอย่างมะเร็งเต้านมที่อาจต้องกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเพศหญิงและมะเร็งต่อมลูกหมากที่กระตุ้นด้วยฮอร์โมนเพศชาย เป็นต้น
- การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy)
การรักษาด้วยยามุ่งเป้า จะเข้าไปออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็งเพื่อยับยั้งการแบ่งตัวและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมีบำบัด แต่ใช้ได้ดีกับเนื้อเยื่อมะเร็งที่มีเป้าจำเพาะต่อยาเท่านั้น จึงขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งเป็นสำคัญ
- การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ใช้หลักการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อสู้กับเซลล์มะเร็งเพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น วิธีนี้ใช้รักษามะเร็งได้หลายชนิด ขึ้นอยู่กับชนิด ลักษณะ และความรุนแรงของโรค ส่วนใหญ่ได้ผลดีในการรักษาและผลข้างเคียงต่ำ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง
- การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow/Stem Cell Transplantation)
การปลูกถ่ายไขกระดูก มีทั้งแบบการใช้เซลล์ต้นกำเนิดของตัวเองหรือของบุคคลที่มีความเข้ากันได้ของระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนใหญ่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งระบบเลือดอื่นๆ หรือมะเร็งเซลล์สืบพันธุ์บางชนิด
- การรักษาแบบผสมผสาน (Combined Modality Therapy)
การรักษาแบบผสมผสาน เป็นการรักษาโรคมะเร็งโดยใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสหายและรอดชีวิต แต่จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับระยะ ความรุนแรงของโรค และสุขภาพของผู้ป่วย โดยแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งจะประเมินการรักษาอย่างละเอียดเพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้การดูแลสุขภาพที่ดี ทานอาหารที่มีประโยชน์ ถูกสุขอนามัย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ตากแดดจ้า ไม่ทานปลาน้ำจืดดิบและตรวจสุขภาพร่างกายอย่างเป็นประจำ จะช่วยให้สามารถป้องกันมะเร็งและสุขภาพที่แข็งแรงได้
อยากให้ทุกคนป้องกันมะเร็งด้วยการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลมะเร็งและหมั่นตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะมะเร็งหากรู้เร็ว รักษาเร็ว เพิ่มโอกาสหายได้