รู้ก่อนฉีด! วัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี จำเป็นหรือไม่

รู้ก่อนฉีด! วัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี จำเป็นหรือไม่

รู้ก่อนฉีด! วัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี จำเป็นหรือไม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
  • ประเทศไทยพบผู้ป่วยเด็กกลุ่ม 5-11 ปีติดเชื้ออยู่ในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะเด็กกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับวัคซีน
  • จากการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี พบว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด -19  ถึง 90.7%
  • การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในครอบครัว (หากมีความเสี่ยงและจำเป็นต้องตรวจ) แนะนำให้เลือกชุดตรวจที่ใช้วิธีป้ายจมูกแบบตื้น เพราะหากใช้แบบก้านยาวอาจเกิดการผิดพลาด กระทบกระเทือนอวัยวะด้านหลังของคอหอย และเป็นอันตรายได้ ทั้งนี้ ควรศึกษาวิธีการใช้งานของแต่ละยี่ห้ออย่างละเอียดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของผลตรวจ

จะเห็นได้ว่าเชื้อโควิด-19 มีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นสายพันธุ์โอมิครอนในช่วงที่ผ่านมานี้ ซึ่งแพร่กระจายและติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น โดยเชื้อแพร่กระจายได้เร็วกว่าเดิม 3-4 เท่า ในต่างประเทศมีรายงานว่า อัตราการติดเชื้อของเด็กสูงขึ้นตามสัดส่วนของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น แต่ในประเทศไทยผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อยังอยู่ในสัดส่วนเดิม คือ 10 เปอร์เซนต์ 

อาการของเด็กหากติดเชื้อโอมิครอน และความจำเป็นในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19

พญ. ภัสสร บุณยะโหตระ กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ รพ.เด็กสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า หากเปรียบเทียบอาการของเด็กกับผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ดูเหมือนกับว่าผู้ใหญ่จะมีอาการน้อยกว่า เพราะความรุนแรงของโรคจะลดลงเมื่อได้รับวัคซีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความรุนแรงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสำหรับเด็กนั้นค่อนข้างน้อย จากการศึกษาพบว่า แนวโน้มการติดเชื้อโอมิครอนในเด็กนั้นก็มีความรุนแรงไม่มาก

แต่ถึงกระนั้นแล้ว วัคซีนโควิด-19 ก็ยังมีความจำเป็นกับเด็ก เพราะเด็กๆ จำเป็นต้องไปโรงเรียน หากเด็กมีการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว จะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การได้รับวัคซีนจะทำให้การแพร่กระจายของโรคน้อยลงและสามารถควบคุมการระบาดได้ อีกทั้งในเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ ยิ่งจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกัน เพราะหากมีการติดเชื้อจะทำให้มีอาการรุนแรงได้

สำหรับกลุ่มอาการ MIS-C ที่เกิดหลังจากที่เด็กติดโควิด-19 และก่อให้เกิดการอักเสบกับอวัยวะและระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย อันเนื่องมาจากระบบภูมิคุ้มกันที่สูงผิดปกตินั้น อาจทำให้มีอาการคล้ายโรคคาวาซากิ เช่น มีไข้สูง ผื่น ตาแดง ปากแดง ซึ่งหากอาการทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กกลุ่มอายุ 5-11 ปี

การวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี ได้ผลิตเสร็จสิ้นและมีการวางแผนที่จะเริ่มฉีดให้เด็กไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยวัคซีนนี้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเช่นเดียวกันกับของผู้ใหญ่แต่จะมีปริมาณการฉีดที่น้อยกว่า โดยมีปริมาณเพียง 1 ใน 3 ที่ใช้ฉีดในเด็กกลุ่ม 12 – 18 ปีและในผู้ใหญ่เท่านั้น

ผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี

จากข้อมูลการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี ในกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีอาการรุนแรงหลังฉีดวัคซีนน้อยกว่าวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ และส่วนมากมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ อาจมีอาการหนาวสั่น ปวดข้อและกล้ามเนื้อ อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง และบางคนก็ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กกลุ่มนี้ จากการศึกษาพบว่ามีน้อยมาก โดยในเด็กผู้หญิงพบเพียง 2 คนในล้านคน ในเด็กผู้ชายพบเพียง 4 คนในล้านคน เท่านั้น

การเตรียมก่อนไปฉีดวัคซีนโควิด-19

เด็กๆ ควรเตรียมร่างกายให้แข็งแรง ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชม. ก่อนมารับวัคซีน และยังสามารถฉีดพร้อมวัคซีนตัวอื่นๆ ได้ ไม่ต้องเว้นระยะ ในส่วนของเด็กที่เคยติดโควิด-19 แล้วก็สามารถให้กระตุ้นวัคซีนโควิด-19 ได้ภายหลังจากที่หายเป็นปกติแล้ว 1 เดือน แต่สำหรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 ในเด็กกลุ่ม 5 – 11 ปีนั้น ยังอยู่ในกระบวนการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะมีข้อสรุปในเร็ววันนี้

วัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็ก อายุต่ำกว่า 5 ขวบ

ในด้านของการวิจัยวัคซีนในเด็กอายุ 2- 5 ปี ยังอยู่ในกระบวนการศึกษา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2565 นี้ โดยคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณการฉีด ส่วนเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาอยู่เช่นกัน โดยอาจจำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานในการศึกษาเพราะอายุของเด็กที่น้อยลง และปัจจุบันก็ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ในเด็กทารกวัย 6 เดือนอีกด้วย

การตรวจ ATK ในเด็ก จำเป็นหรือไม่ และควรตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในเด็กด้วยวิธีใด

การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วย Antigen Test Kit (ATK) ในเด็กเป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยลดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ดังนั้น การตรวจด้วยวิธีนี้จึงค่อนข้างมีความสำคัญ โดยแนะนำให้มีการตรวจประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ สำหรับเด็กที่ต้องไปโรงเรียนหรือมีความเสี่ยง แต่ในบางกรณีที่มีการใกล้ชิดหรือเพิ่งสัมผัสกับผู้ป่วย การตรวจ ATK ก็อาจไม่แสดงผลที่ชัดเจน หรือตรวจแล้วยังไม่พบเชื้อเพราะเชื้อยังอยู่ในระยะฟักตัว

ดังนั้น หลังตรวจก็ยังจำเป็นต้องกักตัวเพื่อดูอาการและตรวจซ้ำ ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กินอาหารด้วยกัน อยู่ในห้องปิดด้วยกัน แม้ตรวจเชื้อด้วย ATK ไม่เจอ ก็ต้องกักตัวอย่างน้อย 7 วัน และต้องทำการตรวจซ้ำในวันที่ 5 และวันที่ 10  โดยนับจากวันที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อครั้งสุดท้าย

ในส่วนของการตรวจ หากจำเป็นต้องตรวจกันเองในครอบครัว ไม่แนะนำให้ใช้ชุดตรวจที่ต้องแยงจมูกแบบลึก เพราะคนในครอบครัวอาจไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดการผิดพลาดและเป็นอันตรายได้ ในกรณีที่แยงเข้าไปลึกจนเกินไป อาจไปกระทบกระเทือนถึงด้านหลังคอหอย หรือในกรณีที่เด็กเจ็บ ตกใจ สะบัด ขัดขืน ดิ้น อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ จึงแนะนำให้เลือกชุดตรวจที่ใช้วิธีป้ายจมูกแบบตื้น

สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีการหมุนเขี่ยภายในจมูกให้ทั่วเพราะการตรวจหาเชื้อต้องเก็บเนื้อเยื่อภายในจมูกที่อาจมีเชื้อมาตรวจสอบ ส่วนในกรณีที่ตรวจด้วยเครื่องตรวจแบบน้ำลาย ต้องมีการขากน้ำลายอย่างถูกต้อง เพราะต้องตรวจเนื้อเยื่อในลำคอที่อาจมีเชื้อมาตรวจสอบ การตรวจแบบน้ำลายจึงเหมาะกับการตรวจในเด็กที่ค่อนข้างโตพอที่จะขากน้ำลายได้ ทั้งนี้ ต้องศึกษาวิธีการใช้งานของชุดตรวจแต่ละยี่ห้ออย่างละเอียด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการทดสอบ

วิธีการดูแลเด็กให้ห่างไกลจากโรคโควิด-19

  • ใส่หน้ากากอนามัยที่ขนาดพอดีกับใบหน้าเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อโอมิครอนนั้นติดกันได้ง่ายมาก ดังนั้น ขนาดของตัวหน้ากากที่พอดีและปกปิดมิดชิดจึงสำคัญ  
  • หากเด็กอายุน้อยมากๆ ไม่สามารถใส่หน้ากากได้ ต้องดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ไปในที่ระบายอากาศได้ดี รักษาระยะห่าง  
  • หากจำเป็นต้องฝากเด็กกับศูนย์รับเลี้ยงเด็ก อาจต้องดูเรื่องคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม ยืนยันว่าพี่เลี้ยงไม่มีความเสี่ยงและได้รับวัคซีนแล้ว     
  • หากผู้ปกครองติดเชื้อและรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ใกล้ชิดกับเด็ก ต้องสังเกตอาการเด็กอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากเด็กมีอาการซึม กินไม่ได้ หอบเหนื่อย มีไข้ ต้องรีบพาไปตรวจเพื่อหาเชื้อโดยเร็ว ส่วนเด็กโตอาการจะคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ หากมีอาการต้องตรวจหาเชื้อเช่นกัน 
  • หากเด็กติดเชื้อโควิด-19 และผู้ปกครองต้องให้การดูแล ต้องระวังช่วงแพร่เชื้อใน 5 วันแรก  
  • หลีกเลี่ยงไม่นั่งทานข้าวร่วมกัน ไม่อยู่ในพื้นที่ปิดร่วมกัน เว้นระยะห่าง แต่หากต้องนั่งโต๊ะร่วมกัน ให้ปิดแอร์ เปิดหน้าต่าง เพื่อให้อากาศระบายตลอดเวลา หรือทานข้าวภายนอกตัวบ้านในที่โล่งแจ้งแทน 

การติดเชื้อโควิด-19 ในเด็กแม้จะมีความรุนแรงน้อย แต่เด็กก็จำเป็นต้องได้รับวัคซีน เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการระบาดให้น้อยลง การฉีดวัคซีนจะเป็นตัวช่วยสำคัญทำให้การใช้ชีวิตของทุกคนกลับมาปกติดังเดิม 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็ก 5-11 ปี

ปัจจุบัน ในขณะที่กลุ่มอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนโควิด-19 เพิ่มขึ้นสะสมในช่วงที่ผ่านมา (28 ก.พ. 2564 - 20 ม.ค. 2565) รวม 110,799,936 โดส แบ่งเป็น จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม 51,922,910  ราย จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม  47,834,174 ราย จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม 11,042,852 ราย ทำให้สามารถลดความรุนแรงของเชื้อโควิด-19 ลงได้  แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มอายุ 5-11 ปี มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะกลุ่มวัยนี้ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 

ไม่นานมานี้ในช่วงกลางเดือนมกราคม จึงได้เริ่มมีการประกาศให้มีการฉีดวัคซีนในเด็กวัย 5-11 ปี ตามขนาดและข้อบ่งชี้ที่ได้กำหนดและให้อยู่ภายใต้การตัดสินใจในการรับวัคซีนของผู้ปกครอง โดยวัคซีนที่จะใช้ฉีดในกลุ่มอายุ 5-11 ปี คือ วัคซีน Pfizer  ของเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะลดโดสจาก 30 ไมโครกรัม เหลือ 10 ไมโครกรัม (ฝาสีส้ม)

การวางแผนการฉีดวัคซีน มีการจัดสรรวัคซีนตามลำดับต่อไปนี้ 

  • จัดสรรให้สถานพยาบาลสำหรับกลุ่มอายุ 5-11 ปี ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคที่ไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานศึกษาได้ โดยให้กุมารแพทย์เป็นผู้พิจารณา 
  • จัดสรรให้เด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในทุกจังหวัดเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจัดสรรให้นักเรียนชั้นปีอื่นถัดไปตามลำดับ 
  • การจัดสรรวัคซีนเป็นไปตามสัดส่วนของนักเรียนในแต่ละจังหวัด 
  • มีการสำรองวัคซีนในส่วนกลางไว้ใช้กรณีฉุกเฉินหรือมีการระบาดในพื้นที่ 
  • การจัดสรรวัคซีนสำหรับฉีดในสถานพยาบาล ให้ใช้สำหรับเด็กป่วย หรือเด็กที่เรียนผ่านระบบ Homeschool  

ประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีน 

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนไฟเซอร์ ขนาด 10 ไมโครกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 โดส ห่างกันอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ของเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี จำนวน 1,517 ราย พบว่ามีประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันโรคโควิด-19  ถึง 90.7% ที่ระยะเวลาหนึ่งเดือนภายหลังการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม เห็นได้ว่าประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 หลังฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี สูงไม่น้อยไปกว่าการฉีดวัคซีนของกลุ่มอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป 

ข้อแนะนำในการรับวัคซีน 
กระทรวงสาธารณสุข แนะนำการฉีดวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ดังต่อไปนี้ 

  1. ระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 และ 2 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ห่างกัน 8-12 สัปดาห์ จะได้รับภูมิคุ้มกันสูงกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการเว้นระยะ 3-4 สัปดาห์ 
  2. สูตรสำหรับฉีดผู้ใหญ่และเด็กมีความแตกต่างกันในแต่ละสถานพยาบาล ควรแยกจุดฉีดหรือโต๊ะฉีดสำหรับขวดฝาม่วงและฝาส้มให้ชัดเจน 
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook