เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ติดโควิด-19 ต้องรักษาอย่างไร

เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ติดโควิด-19 ต้องรักษาอย่างไร

เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ติดโควิด-19 ต้องรักษาอย่างไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการโควิด-19 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ออกคำแนะนำฉบับเบื้องต้น การดูแลรักษาโควิด-19 ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี (COVID-19 Interim Guidance : Management of Children with COVID-19) ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ฉบับที่ 1/2565 ความว่า

การระบาดของ SARS CoV-2 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2565 จนถึงปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การติดเชื้อสะสมในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งแต่ 31 ธ.ค.2564-16 ก.พ.2565 สูงถึง 77,635 คน คิดเป็นร้อยละ 21 ของผู้ติดเชื้อในทุกกลุ่มอายุ (ข้อมูล จาก SATCOVID team กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 16 ก.พ.2565)

เนื่องจากในการระบาดของเชื้อโอมิครอน พบผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและการเสียชีวิตน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่ผ่านมา และจากการติดตามผู้ป่วยเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ หรืออาการน้อย สามารถให้การดูแลที่บ้านได้ โดยให้การรักษาแบบประคับประคอง ส่วนน้อยมากที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส หรือต้องนอนโรงพยาบาล

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จึงพิจารณาร่างแนวทางการรักษาโควิด-19 ในเด็ก ให้เหมาะกับการระบาดในขณะนี้ ซึ่งแม้จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ส่วนใหญ่สามารถรักษาโดยพักอยู่ที่บ้านได้ ซึ่งจะเหมาะกับผู้ติดเชื้อที่เป็นเด็ก โดยคำแนะนำนี้เป็นฉบับเบื้องต้น ซึ่งจะมีการออกคำแนะนำฉบับสมบูรณ์ต่อไป

ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (probable case) ผู้ที่มีผลตรวจ ATK ต่อเชื้อไวรัส SARSCoV-2 ให้ผลบวก และผู้ติดเชื้อยืนยัน (confirmed case) ทั้งผู้ที่มีอาการและไม่แสดงอาการ ให้ใช้ยาในการรักษาจำเพาะดังนี้

  1. ผู้ติดเชื้อ SARS-COV-2 ไม่มีอาการ (Asymptomatic COVID-19) ไม่แนะนำยาต้านไวรัส สามารถให้การดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้านได้ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรือรับการรักษาในโรงพยาบาล
  2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง (Symptomatic COVID-19 without pneumonia and no risk factors) แนะนำให้ดูแลรักษาตามอาการ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก และแยกกักตัวที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรือรับการรักษาในโรงพยาบาล หรืออาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นเวลา 5 วัน ตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น กรณีที่ไข้สูง 39 องศาเซลเชียสต่อเนื่องกันมากกว่า 1 วัน อ่อนเพลีย ซึม อาเจียน ท้องเสีย รับประทานอาหารได้น้อย เป็นต้น
  3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีอาการปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อย ไม่เข้าเกณฑ์ข้อ 4 ปัจจัยเสี่ยง/โรคร่วมสำคัญ ได้แก่ อายุน้อยกว่า 1 ปี และมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง แนะนำให้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นเวลา 5 วัน อาจให้นานกว่านี้ได้ หากอาการยังมาก โดยแพทย์พิจารณาตามความเหมาะสม หรือสามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ตามดุลพินิจของแพทย์ โดยจัดให้มีช่องทางให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อเข้ารับการประเมิน หรือรับการรักษาในโรงพยาบาลหากอาการเปลี่ยนแปลงหรือทรุดลง
  4. ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการปอดอักเสบปานกลาง หรือรุนแรง ได้แก่ หายใจเร็วกว่าอัตราการหายใจตามกำหนดอายุ (60 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ <2 เดือน, 50 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 2-12 เดือน, 40 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 1-5 ปี และ 30 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ >5 ปี) แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล รับยาฟาวิพิราเวียร์เป็นเวลา 5-10 วัน หรือยาเรมเดซิเวียร์ หากเป็นมาไม่เกิน 10 วัน และมีปอดอักเสบที่ต้องการการรักษาด้วยออกซิเจน หรือมีอาการรุนแรง แนะนำให้ corticosteroid
  5. ผู้ป่วยยืนยันที่มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาลอื่นๆ เช่น ท้องเสีย อาเจียน ทานอาหารไม่ได้ แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือให้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นเวลา 5-10 วัน

เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น หรือไม่มีข้อบ่งชี้ในการนอนโรงพยาบาล สามารถรักษาต่อแบบผู้ป่วยนอก โดยการกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ในระหว่างที่รักษาแบบผู้ป่วยนอก ขอให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการกักตัวอยู่ที่บ้านตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อป้องกันการกระจายเชื้อ

หมายเหตุ : ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะแนะนำการใช้ฟ้าทะลายโจร, Ivermectin, Molnupiravir, และ Paxlovid เพื่อการรักษาโควิด-19 ในเด็ก

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ SARS Co V-2 ที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ เด็กที่มีโรคร่วม หรือความผิดปกติ ดังต่อไปนี้

  1. โรคอ้วน (น้ำหนักเทียบกับความสูง (weight for height) มากกว่า +3 SD)
  2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
  3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
  4. โรคไตวายเรื้อรัง
  5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
  6. โรคเบาหวาน
  7. กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook