16 อาการที่สังเกตได้ของ "ไบโพลาร์"
หากลองสังเกตดีๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเครียดในชีวิตประจำวันพบได้บ่อยมากขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และยังส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่กลับมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์อีกชนิดหนึ่งที่พบได้ไม่ยากนัก
ทว่าตัวผู้ป่วยเองอาจยังไม่รู้ว่าตนป่วยหรือรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับ ไม่กล้าไปพบแพทย์ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด และความทุกข์ใจต่อคนในครอบครัวและคนรอบข้างได้ โรคที่ว่านี้คือ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยการสนับสนุนจาก ซาโนฟี่ ประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์เอาไว้ ดังนี้
โรคไบโพลาร์ คืออะไร
โรคไบโพลาร์เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มีการขึ้นและลงของอารมณ์อย่างรุนแรง โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ หรืออาจเกิดในผู้ที่มีความเครียดสะสม หรืออดนอนบ่อยๆ ร่วมด้วย การแสดงออกทางอาการแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) คือ อารมณ์ดี คึกคัก สนุกสนาน และกลุ่มอาการซึมเศร้า (Depress) จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคอารมณ์สองขั้ว (ขั้วบวก = แมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า)
โดยปกติในแต่ละวัน คนเราจะมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในระดับหนึ่งแล้วกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ รับผิดชอบหน้าที่การงาน ครอบครัว สังคมได้ แต่คนที่มีอารมณ์ผิดปกติ คือ เกิดอารมณ์ขั้วบวกหรืออารมณ์ขั้วลบเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่สามารถกลับเข้าสู่อารมณ์ปกติได้ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว
การสังเกตอาการเริ่มต้นนั้นทำได้ไม่ยาก โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีสัญญาณเริ่มต้น ได้แก่
- ขั้วบวก คือ หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ 2-3 วัน พูดมากขึ้น ร่าเริงผิดปกติ หรือในบางคนอาจจะมีพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
- ขั้วลบ คือ เศร้าผิดปกติ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เบื่อหน่ายไม่อยากทำอะไร คิดลบ รู้สึกไม่อยากมีชีวิต
16 อาการที่สังเกตได้ของ "ไบโพลาร์"
ช่วงขั้วอารมณ์ขึ้นสูง หรือช่วงเบิกบาน
ร่าเริงเบิกบาน หรือหงุดหงิดมากเป็นพิเศษนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และมีอย่างน้อย 3 ข้อของอารมณ์ “คลั่ง” ดังต่อไปนี้
- รู้สึกลำพองในตัวเอง
- ต้องการนอนน้อยลง
- พูดมากกว่าปกติ
- ความคิดแล่นเร็ว
- ขาดสมาธิ ความสามารถในการคิดลดลง
- มีกิจกรรมทางสังคม การงาน หรือทางเพศมากขึ้น
- ขาดความรอบคอบ ยับยั้งชั่งใจ เช่น การซื้อของอย่างฟุ่มเฟือย ขับรถเร็ว เล่นการพนัน เป็นต้น
ช่วงขั้วอารมณ์ดิ่งต่ำ หรือซึมเศร้า
มีอาการพร้อมกันอย่างน้อย 5 ข้อ นานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ของอารมณ์เหล่านี้
- ซึมเศร้า
- หมดความสนใจใยดี ความสนุกสนานลดลง
- น้ำหนักตัวเพิ่ม หรือลดอย่างมาก
- นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
- ความคิด หรือการเคลื่อนไหวเชื่องช้า
- อ่อนเพลีย ไม่มีพละกำลัง
- รู้สึกตนเองไร้ค่า รู้สึกผิดแบบไม่สมเหตุสมผล
- สมาธิ ความสามารถคิดลดลง
- ความคิดวนเวียนเกี่ยวกับความตาย
วิธีรักษาไบโพลาร์
เมื่อพูดถึงการรักษาหลายคนมักมีความเข้าใจผิดว่าโรคไบโพลาร์ไม่สามารถรักษาหายได้ แต่ในความเป็นจริงโรคไบโพลาร์สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาเป็นวิธีการรักษาหลัก โดยแพทย์จะให้ยาทางจิตเวชเพื่อปรับสารสื่อประสาทและควบคุมอารมณ์ พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคและยา รวมถึงการดูแลตนเองในด้านต่างๆ ควบคู่กันไป
สำหรับผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจแนะนำให้ทำจิตบำบัดร่วมด้วยเพื่อให้สามารถจัดการกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น และลดความขัดแย้งกับคนรอบข้างที่เป็นสาเหตุของความเครียด โดยข้อห้ามหลักๆ คือ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ควรอดนอน และไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากอาการผิดปกติและกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง