4 วิธีดูเเลสายตาเด็กเล็ก ขณะเล่น-จ้องหน้าจอมือถือ
คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ตโฟน ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ยังนิยมใช้เป็นสื่อหนึ่งในการเพิ่มทักษะต่างๆ ให้แก่เด็กหรือเพื่อให้เด็กไม่รบกวนโดยอาจขาดความรู้เท่าถึงต่อโทษที่จะตามมาโดยเฉพาะปัญหาสุขภาพตาเช่น อาการปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้ง เคืองตา และตามัว สายตาสั้นก่อนวัย และภาวะจิตสังคมขาดสายใยผูกพันระหว่างคนในครอบครัวได้
อันตรายจากการจ้องมองหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากเกินไป
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ตโฟน เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น หลายคนอาจเคยประสบปัญหาในอาการเหล่านี้ เช่น ทำให้ปวดเมื่อยตา ตาแห้ง ตาล้า แสบตา เคืองตา ตาพร่ามัว โฟกัสได้ช้าลง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ หรือบางครั้งมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่ หรือปวดต้นคอร่วมด้วย และส่งผลต่อการนอนหลับได้ หากมีอาการที่กล่าวข้างต้นร่วมกับการใช้งานจากหน้าจอติดต่อกันเป็นเวลานานในแต่ละวัน และหากแบ่งเวลาการทำงานหรือเวลาเรียนออนไลน์ไม่เหมาะสม ก็จะส่งผลต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะดวงตาที่ต้องรับภาระจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอมือถือเป็นเวลานานๆ จึงอาจเป็นปัญหาต่อดวงตาที่พบจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้ง เคืองตา ตามัว หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรพบจักษุแพทย์
เด็กจ้องหน้าจอนานๆ อันตรายกว่าที่คิด
นายแพทย์อภิชัย สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มว่า เด็กเป็นกลุ่มเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญ จากการที่สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต ใช้งานไม่ยาก มีซอฟต์แวร์น่าใช้ ดึงดูดสายตาเด็ก นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังนิยมใช้เป็นสื่อหนึ่งในการเพิ่มทักษะต่างๆ ให้แก่เด็กหรือเพื่อให้เด็กไม่รบกวนโดยอาจขาดความรู้เท่าถึงต่อโทษที่จะตามมาโดยเฉพาะปัญหาสุขภาพตา พบว่าเด็กมักใช้เวลาวันละประมาณ 7 ชั่วโมงไปกับสื่อเอนเตอร์เทน อีกด้านของสติปัญญาการพัฒนาทางอารมณ์และสังคม พบว่า การใช้สื่อต่างๆ เป็นเวลานาน ส่งผลต่อความตั้งใจเรียนที่โรงเรียนลดลง พฤติกรรมการกิน การนอนผิดไป และเกิดโรคอ้วนตามมา ปัญหาทางตาที่พบจากการใช้สื่ออุปกรณ์เหล่านี้ ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดตา ตาแห้ง เคืองตา ตามัวและเสี่ยงสายตาสั้นก่อนเวลาอันควร
แพทย์หญิงพันธราภรณ์ ตั้งธรรมรักษ์ จักษุแพทย์ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ ยังมีแสงสีฟ้าที่เป็นแสงที่พบได้จากแสงแดด มือถือ แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้ามีความกระเจิงแสงทำให้เกิดความไม่สบายตาในการมองและมีผลต่อการนอนหลับยากขึ้น ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่า แสงสีฟ้าก่อโรคต่อดวงตาชัดเจน เพราะฉะนั้นแว่นตาตัดแสงสีฟ้าอาจจะมีประโยชน์ในแง่ช่วยให้มองภาพสบายตามากขึ้น มีคำถามว่าลูกน้อยควรใช้เวลาหน้าจอเท่าไหร่ต่อวัน จักษุแพทย์แนะว่าหากเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ไม่ควรใช้เวลาหน้าจอเลย ส่วนเด็กอายุ 1-2 ปีใช้เวลาหน้าจอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในช่วงอายุ 3-4 ปีใช้เวลาหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน และในช่วงมากกว่า 5-13 ปี ใช้เวลาหน้าจอไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ต่อวัน
4 วิธีดูแลสายตาเด็กเล็ก ขณะเล่น-จ้องหน้าจอมือถือ
มีคำแนะนำในการดูแลลูกน้อยในขณะใช้หน้าจอ
- ควรพักสายตาเมื่อลูกน้อยใช้หน้าจอ โดยใช้หลัก 20-20-20 โดยพักจากหน้าจอทุก 20 นาที พักสายตาโดยมองวัตถุที่ไกลออกไปประมาณ 20 ฟุต และพักเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
- ปรับแสงสว่างให้เพียงพอ วางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ห่างประมาณ 25 นิ้ว ปรับหน้าจอความเข้ม ความสว่างให้พอดี
- การใช้น้ำตาเทียม อาจมีประโยชน์สำหรับกรณีมีอาการตาแห้งร่วมด้วย
- ควรพบจักษุแพทย์ หากลูกน้อยมีอาการกะพริบตาบ่อย มองภาพไม่ชัด มีตาเข ปวดศีรษะ
ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพกายที่ดี ลดความเสี่ยงสายตาสั้น และเพื่อให้เกิดการพัฒนาของสติปัญญา ทางจิตใจ อารมณ์ และสังคมแนะนำให้เด็กๆ มีกิจกรรมกลางแจ้งหรืออ่านหนังสือ และที่สำคัญสมองเด็กมีพัฒนาการที่เร็วมากในช่วงอายุ 2-3 ขวบปีแรก จึงควรให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์ วิธีสังเกตถ้าเด็กมีอาการเช่นเด็กอาจจะบ่นปวดตา หรือแสบตา ตาแดง กะพริบตาบ่อย หรือเอามือขยี้ตา ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที