ข้อควรรู้ ก่อน “ผ่าตัดแปลงเพศ” จากชายเป็นหญิง
- ผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ต้องผ่านการประเมินตามข้อกำหนดของ The World Professional Association for Transgender Health (WPATH) recommendations version 7 (Coleman, et al., 2011) ก่อนเท่านั้น
- ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดแปลงเพศ ที่ผู้รับการผ่าตัดมักกังวลคือเรื่องของความสวยงามและการรับความรู้สึก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับหลายปัจจัย แพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถให้คำแนะนำ และเลือกชนิดของการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ปัจจุบันเพศทางเลือกมีความหลากหลายและเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น ขณะเดียวกันการผ่าตัดแปลงเพศก็ได้รับความนิยมและทำกันแพร่หลายมากขึ้นเช่นกัน ในทางการแพทย์เองก็ได้มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดมาโดยตลอด เพื่อให้ได้ผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจและลดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดให้น้อยที่สุด
การผ่าตัดแปลงเพศ จากชายเป็นหญิง
นพ. วีรวัฒน์ ติรนันท์มงคล ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ. สมิติเวช ศรีนครินทร์ ระบุว่า การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง (Gender Affirmation Surgery - Male to Female) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศจากชายให้ดูเหมือนอวัยวะเพศหญิงทั้งในแง่รูปลักษณ์ภายนอก ความรู้สึก และการใช้งาน โดยใช้ส่วนต่างๆ ขององคชาตเดิมเพื่อสร้างช่องคลอดใหม่ที่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกและใช้งานได้เปรียบเสมือนว่าเป็นเพศหญิง
การผ่าตัดโดยทั่วไปประกอบด้วย
- การตัดอัณฑะ (Orchidectomy)
- การสร้างช่องคลอด (Vaginoplasty)
- การตกแต่งอวัยวะภายนอก (Labiaplasty)
การผ่าตัดนี้มีการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น
- การสร้างจุดรับความรู้สึก (Sensate Clitoroplasty)
- การสร้างแคมใน (Labia Minora reconstruction) โดยใช้ผิวหนังจากถุงอัณฑะมาสร้างเป็นแคม
- การสร้างช่องคลอดด้วยลำไส้ (Intestinal Vaginoplasty)
- การสร้างช่องคลอดด้วยเยื่อบุช่องท้อง (Endoscopic Peritoneal Flap Vaginoplasty) ทำให้การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงในปัจจุบัน มักจะได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนทุกมิติและน่าพึงพอใจ
นอกจากการผ่าตัดบริเวณอวัยวะเพศแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศยังรวมไปถึงการผ่าตัดชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- การปรับโครงสร้างใบหน้า (Facial Feminization Surgery)
- การเหลาลูกกระเดือก (Tracheal Shave)
- การผ่าตัดเส้นเสียง (Voice Feminization Surgery)
- การเสริมหน้าอก (Breast Augmentation)
- การเสริมสะโพก (Buttock Augmentation)
- การปลูกผม (Hair Transplants)
เป็นต้น
ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัดแปลงเพศ
- สตรีข้ามเพศ (Transgender Woman: TGW) ที่ผ่านการประเมินตามข้อกำหนดของ The World Professional Association for Transgender Health (WPATH) recommendations version 7 (Coleman, et al., 2011)
- มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หากต้องการลดน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักให้ได้ตามที่ต้องการก่อนทำการผ่าตัด
- ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น โรคที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Hemophilia) โรคที่มีความผิดปกติของการหายของแผล (Ehlers-Danlos Syndrome)
- ผู้ที่มีความคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผล
- มีสุขภาพจิตปกติ
- มีอายุมากกว่า 20 ปี (หากอายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องมีจดหมายยินยอมจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตามกฎหมาย)
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการผ่าตัดแปลงเพศ
การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่ไม่ใช่ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับทุกคน แพทย์จะให้คำปรึกษาและประเมินความเสี่ยง ให้โอกาสในการซักถามข้อสงสัย จากนั้นจึงร่วมกันตัดสินใจในด้านการผ่าตัด
ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดแปลงเพศ ที่ผู้รับการผ่าตัดมักกังวลคือเรื่องของความสวยงามและการรับความรู้สึก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับหลายปัจจัย แพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถให้คำแนะนำ และเลือกชนิดของการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ในเรื่องของรอยแผลเป็น หากไม่มีประวัติแผลเป็นประเภทคีลอยด์มาก่อน มักจะได้รับผลลัพธ์ที่เรียบเนียน ซ่อนในตำแหน่งที่เหมาะสม
ความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนในการหายของแผล (Wound complications) อาการชา (Numbness) หรือการขาดเลือดมาเลี้ยง (Skin Necrosis) ซึ่งมักพบในคนที่สูบบุหรี่จัด หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น แต่หากควบคุมอาการได้ดีก็ไม่ใช่ข้อห้ามในการผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ
6 เดือน ก่อนการผ่าตัด
- งดยารักษาสิวชนิดที่มีส่วนผสมของวิตามิน A (Isotretinoin) เพราะอาจมีผลต่อการหายของแผล
3 เดือน ก่อนการผ่าตัด
- เตรียมความพร้อมของร่างกาย ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี หากมีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์เพื่อรักษาและควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะปกติ
4 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 4 สัปดาห์
- งดการเจาะ/สักร่างกาย หรืออาบแดด หากมีการเจาะ ใส่ห่วง อยู่แล้วให้ถอดออกเพื่อเช็คและรักษาหากมีการอักเสบ
10 วัน ก่อนการผ่าตัด
- งดยาที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด ได้แก่
- ยาละลายลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Coumadin, Ticlid, Plavix or Aggrenox. (โปรดปรึกษาแพทย์ประจำตัวถึงความปลอดภัยในการหยุดยา)
- ยาแก้ปวดประเภท Nsaids เช่น Ibuprofen, Advil, Motrin, Nuprin, Aleve, Relafen, Naprosyn, Diclofenac, Naproxen, Voltaren, Daypro, Feldene, Clinoril, Lodine, Indocin, Orudis เป็นต้น
- ยาระงับประสาท ยานอนหลับบางชนิด เช่น Zoloft, Lexapro, Prozac, Pristiq เป็นต้น
- งด วิตามิน อาหารเสริมทุกชนิด ที่อาจมีผลกับการแข็งตัวของเลือด เช่น Multivitamins, Fish oil, Omega3, Co-enzyme Q10, Evening Primrose Oil, Glucosamine, Arnica, Ginseng, Gingko, herbs เป็นต้น
นอกจากคำแนะนำข้างต้นแล้ว ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศ ความเสี่ยง ผลลัพธ์ รวบรวมคำถามที่ไม่เข้าใจ ปรึกษาแพทย์ พูดคุยถึงความคาดหวังหลังการผ่าตัดศัลยกรรมกับแพทย์ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันและเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
ขั้นตอนการศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ
- แพทย์จะซักถามและปรึกษาเรื่องผลลัพธ์อีกครั้งก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 4-5 ชั่วโมง
- ดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
- หลังผ่าตัด พักฟื้นในโรงพยาบาล 5 คืน
- นัดตรวจติดตามอาการ วันที่ 7 และวันที่ 14 หลังการผ่าตัด
การดูแลตนเองเพื่อฟื้นตัวหลังการศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ
การฟื้นตัวหลังผ่าตัดขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ความแข็งแรงของสุขภาพเดิมก่อนผ่าตัด ชนิดของการผ่าตัด การดูแลหลังผ่าตัด
- จะมีอาการเจ็บหรือปวดบริเวณแผลผ่าตัดปานกลาง
- สามารถลุกเดินได้ในวันที่ 2 หลังผ่าตัด
- สามารถอาบน้ำได้วันที่ 5 หลังผ่าตัด ควรดูแลแผล และทำการขยายโพรงช่องคลอดต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำ
- อาการบวมช้ำอาจอยู่ได้นาน 3-6 เดือน
- ความรู้สึกของผิวหนังบริเวณที่ผ่าตัดอาจลดลง และจะดีขึ้นในเวลา 3-6 เดือน
- แผลผ่าตัดมักจะแดงและนูนเล็กน้อยในช่วง 1-3 เดือนแรก และจางลงในเวลา 6-12 เดือน จึงควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรงเป็นเวลา 3-6 เดือน
- สามารถกลับไปทำงานได้ใน 4-8 สัปดาห์
- ควรงดออกกำลังกาย 4-6 สัปดาห์
การศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับกันในสังคม ซึ่งการผ่าตัดดังกล่าวมีความซับซ้อน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญทางด้านนี้โดยตรงและทำการผ่าตัดตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด