"อุจจาระตกค้างในท้อง" ปัญหาที่ทำเด็กร้องตลอดเวลา
- ปัญหาอุจจาระตกค้างในเด็ก อาจเกิดจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาหารจึงไม่ย่อย กินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้อุจจาระแข็ง ขับถ่ายไม่ออก มีปัญหาลำไส้ มีพยาธิ หรือเด็กที่ไม่ชอบถ่ายอุจจาระในตอนเช้า หรือชอบกลั้นอุจจาระ
- ควรให้เด็กทานผัก ผลไม้ เพื่อเพิ่มกากใย กินสารเหลวและน้ำมากๆ หรือโยเกิร์ต นมเปรี้ยว ให้ได้จุลินทรีย์สุขภาพ หลังรับประทานอาหารให้เด็กขยับร่างกายเล็กน้อย เพื่อให้ลำไส้ได้บีบตัว และไม่ควรกลั้นอุจจาระ
- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขับถ่ายเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการขับถ่ายจะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย หากลูกมีอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายมีเลือดปนในอุจจาระ ร้องงอแง อาเจียน นอนไม่หลับ อย่าปล่อยไว้ หรือซื้อยามาให้เด็กทานเอง ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา
เรื่องการขับถ่ายของเด็กๆ เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่มักจะพบอยู่ตลอด โดยเฉพาะเด็ก 2 ขวบปีแรก ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายเหลว ถ่ายแข็ง ในเด็กบางคนอาจเป็นแบบไม่ทราบสาเหตุ ตรวจไม่พบโรค อาการที่น่าเป็นห่วงอย่างหนึ่งคือ อุจจาระตกค้าง หรืออุจจาระค้างท้อง
อุจจาระตกค้างในลำไส้ คืออะไร
ศ.พญ. บุษบา วิวัฒน์เวคิน กุมารแพทย์โรคทางเดินอาหารและตับ รพ.เด็กสมิติเวช ระบุว่า อุจจาระตกค้างในลำไส้ หมายถึงการที่เด็กไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระออกมาได้หมด ทำให้รำคาญ เจ็บ ลำบากในการใช้ชีวิต และหากมีอุจจาระตกค้างอยู่ตามผนังลำไส้นานๆ ก็จะให้อุจจาระนั้นรวมตัวกันติดแน่น มีขนาดใหญ่ขึ้น หลุดออกไม่ได้ง่ายๆ กลุ่มอุจจาระใหม่ก็ไม่สามารถดันกลุ่มอุจจาระเก่า และถึงแม้จะดันของเก่าออกมาได้ก็ยังไม่สามารถช่วยดันอุจจาระเก่าที่ติดแน่นออกจากลำไส้ได้ทั้งหมด ซึ่งอาการนี้จะส่งผลต่อร่างกายอย่างมาก
สาเหตุหรือความเสี่ยง ที่อาจส่งผลให้เด็กมีอุจจาระตกค้าง
- กินอาหารชิ้นใหญ่ ทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาหารย่อยไม่ได้ในลำไส้
- กินอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้อุจจาระแข็ง ขับถ่ายไม่ออก
- อาจมีการติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อรา ที่ทำให้การดูดซึมผิดปกติ
- การที่เด็กไม่ได้ถ่ายอุจจาระในตอนเช้า ช่วงเวลา 5.00-7.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายจะขับอุจจาระได้ดี
- เด็กบางคนมีการผ่าตัดช่องท้อง จนลำไส้เป็นพังผืด ซึ่งจะทำให้อุจจาระไปตกค้างตามซอกหลืบ
- เด็กทีมีการกลั้นอุจจาระบ่อยๆ จากความกลัวการขับถ่าย เช่น มีแผลที่รูทวารหนัก โดนสวนอุจจาระบ่อยๆ
- เมื่อเด็กท้องผูกนานๆ จะมีลำไส้ยืด พอง มีความยาวของลำไส้มากกว่าปกติ เพราะเมื่อขนาดลำไส้ยาว พับไปมาในช่องท้อง จะทำให้การลำเลียงของอุจจาระนานขึ้น เกิดการตกค้างระหว่างทางได้
อันตรายจากอุจจาระตกค้างในลำไส้เด็ก
เมื่อมีอุจจาระตกค้างเพิ่มมากขึ้น จะทำให้อุจจาระที่ตกค้างไปกดดัน ต่อกระเพาะอาหาร และไปกดทับกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่ผิดปกติต่อไป เช่น
- เด็กปวดท้อง จากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องผูกเรื้อรังเป็นเวลานาน
- ถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปน
- ถ่ายอุจจาระเล็ด เปื้อน
- เด็กๆ อาจรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย อาทิ มีอาการปวดหลัง ปวดขา ปวดไหล่ และสะบัก
- มีอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย อาเจียน เบื่ออาหาร
- ร้องงอแง จนไม่สามารถนอนได้ หรือหลับไม่สนิท
- ปัสสาวะบ่อย กระเพาะปัสสาวะอักเสบ จนถึงกรวยไตอักเสบ
การป้องกันไม่ให้เด็กมีอุจจาระตกค้าง
- พยายามสอนหรือจับลูกขับถ่ายให้เป็นเวลา เช่น เมื่อตื่นมาตอนเช้าก็พาไปขับถ่ายหรือนั่งส้วมให้ได้ เวลาที่ดีที่สุดคือช่วง 5.00 – 7.00 น. แต่ต้องไม่ใช้วิธีกดดันให้เด็กเกิดความเครียด ไม่ควรใช้วิธีขู่ หรือการสวนอุจจาระ
- ให้เด็กรับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
- ให้เด็กดื่มนมให้เพียงพอ กินสารเหลวและน้ำมากๆ เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
- อย่าให้เด็กกลั้นอุจจาระ เมื่อปวดให้รีบพาไปถ่ายทันที
- กินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ให้ได้จุลินทรีย์สุขภาพ อุจจาระจะฟูนุ่ม
- หลังดื่มนมหรือรับประทานอาหาร พยายามช่วยให้เด็กได้มีการขยับร่างกาย เพื่อให้ลำไส้ได้มีการบีบตัว เพราะจะช่วยทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการขับถ่ายที่คล่องขึ้น
- หากมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย สามารถเลือกทานอาหารที่ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น เช่น นม โยเกิร์ต ผลไม้รสเปรี้ยว ลูกพรุน น้ำส้ม น้ำมะนาว
การตรวจหาอาการอุจจาระตกค้างในลำไส้
คุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจได้เบื้องต้นโดยใช้นิ้วมือลองกดๆ ลงไปลึกๆ คลำบริเวณท้อง ใต้สะดือด้านซ้ายล่าง จากนั้นคลำหาท่อนลำไส้ ลักษณะสัมผัสเป็นเหมือนท่อนยาวๆ คล้ายไส้กรอกเคลื่อนที่ตามการกดได้ หากกดไม่ถึง หรือกดหาไม่เจอ ให้จับเด็กนอนหงาย เมื่อเด็กหายใจเข้าหรือมีลักษณะแขม่วพุง เด็กผอมจะกดเจอง่ายกว่าเด็กที่มีน้ำหนักเยอะ
เมื่อพ่อแม่รู้สึกว่า เด็กมีอาการเหมือนไม่สบายตัว มีอาการปวดท้อง ร้องงอแงไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืดบวม ถ่ายมีเลือดปนแนะนำให้พาเด็กมาตรวจระบบทางเดินอาหาร พบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจอุจจาระ ตรวจภายในทวารหนักอย่างละเอียด หรือถ้ามีโรคทางเดินอาหารอื่นร่วมด้วย อาจจะมีการตรวจแบบส่องกล้องทางเดินอาหาร โดยการใช้กล้องที่มีสายยาวสอดเข้าไปทางปากหรือทวารหนัก โดยแบ่งเป็นการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อตรวจดูหลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้เล็กส่วนต้น ใช้เวลาตรวจประมาณ 10 นาที และส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่างเพื่อตรวจดูลำไส้เล็กส่วนปลาย ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ใช้เวลาตรวจประมาณ 30-60 นาที นอกจากนี้ยังมีการส่องกล้องด้วยวิธีกลืนแคปซูลทางปากสำหรับตรวจวินิจฉัยบริเวณลำไส้เล็กส่วนกลาง โดยปกติใช้เวลาตรวจประมาณ 8-12 ชั่วโมง ซึ่งบอกได้ถึงพยาธิสภาพ ภายในทางเดินอาหารทั้งหมด
การตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจวินิจฉัยในเด็กโดยเฉพาะ โดยให้เด็กหลับ เพื่อลดความกลัว ไม่เจ็บ เป็นการช่วยแก้ไขปัญหา หาสาเหตุ เพื่อการรักษาแบบตรงจุดที่สุด
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขับถ่ายของเด็กๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการขับถ่ายจะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายภายในเกือบทั้งหมด ดังนั้นหากพบว่าลูกมีอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายมีเลือดปนในอุจจาระ ร้องงอแง อาเจียน นอนไม่หลับ อย่าปล่อยไว้ หรือซื้อยามาให้เด็กรับประทานเอง ควรพามาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนรักษาที่ถูกต้อง