Baby fat คืออะไร และวิธีเพิ่มไขมันหน้าเด็กด้วยตัวเอง

Baby fat คืออะไร และวิธีเพิ่มไขมันหน้าเด็กด้วยตัวเอง

Baby fat คืออะไร และวิธีเพิ่มไขมันหน้าเด็กด้วยตัวเอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Baby fat ไขมันหน้าเด็ก คืออะไร มาจากไหนและเราสร้างมันขึ้นมาเองได้หรือไม่

ใครๆ ก็อยากหน้าดูอ่อนเยาว์ เด็กกว่าวัย การที่จะเป็นเจ้าของใบหน้าที่ดูเด็กกว่าวัยตัวเอง อาจจะต้องทำความรู้จักกับ “Baby fat” กันสักเล็กน้อย เพราะใครที่มี Baby fat ก็อาจจะมองว่าเป็นคนที่ใบหน้าเด็กกว่าวัยได้ไม่ยาก

Baby fat คืออะไร

จริงๆ แล้วคำว่า Baby fat ไม่ได้เป็นศัพท์ทางการแพทย์โดยเฉพาะ แต่เป็นคำที่เรียกให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่าเป็นไขมันหน้าเด็ก เพราะเป็นไขมันที่อยู่ตรงหน้าแก้ม ทำให้แก้มนุ่มอิ่มฟู ทำให้ดูหน้าเด็ก ไม่โทรม แต่เป็นไขมันที่มีอยู่มากในทารกแล้วค่อนๆ สลายไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งเมื่ออายุย่างเข้า 30-40 ปี Baby fat เริ่มสลายหายไปเยอะ จึงปรากฏให้เห็นแก้มที่ดูตอบลง ร่องแก้มเห็นชัดขึ้น ตาโหลดูโทรมมากขึ้นนั่นเอง

วิธีเพิ่ม Baby fat ให้กับใบหน้า

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีวิธีช่วยกระตุ้นการทำงานของชั้นไขมันบนใบหน้า หรือแม้กระทั่งการเติมสารที่ปลอดภัยต่อร่างกายเพื่อเติมเต็มในส่วนที่ตอบลงให้อิ่มฟูมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้คำว่า HIFU, Thermage หรือแม้กระทั่งการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยหากทำกับแพทย์ที่เชื่อถือได้

แต่หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่กลัวเข็ม กลัวเครื่องมือแพทย์ และไม่อยากเสียเงินจำนวนมากไปกับการสร้างไขมันหน้าเด็ก จริงๆ แล้วเราก็สามารถสร้าง Baby fat ได้ด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ได้เห็นผลชัดเท่าพบกับหมอ และอาจจะใช้เวลานานกว่า แต่รับรองว่าปลอดภัยเสี่ยงอันตรายน้อยกว่าและประหยัดกว่าแน่นอน

  1. ออกกำลังกายด้วยวิธีเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ หรือเวทเทรนนิ่ง เป็นการออกกำลังกายด้วยการใช้แรงต้าน เช่น ยกน้ำหนัก ดึงยางยืด ฯลฯ หากทำได้ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยเพิ่ม Baby fat ให้ได้ 10-20%
  2. ออกกำลังกายด้วยวิธีคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังหัวใจ เช่น แอโรบิก วิ่ง ปั่นจักรยาน ควรทำให้ได้ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้เวลา 20 นาทีต่อครั้ง แต่ไม่ควรเกิน 40 นาที เพราะถ้าเกินกว่านั้นสารอนุมูลอิสระจะออกมาทำลายเซลล์ทำให้แก่เร็วขึ้น
  3. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และช่วยกระตุ้นการทำงานของผิวหนัง เร่งการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ตระกูลเบอร์รี่ ไฟเบอร์สูง โปรตีนสูง และไขมันต่ำ
  4. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายผิว เช่น อาหารประเภทแป้ง ขนมต่างๆ น้ำตาล และผลไม้ที่มีรสหวาน เพราะอาหารหวานจัดเพราะจะทำให้เกิดสิว ไม่ควรทานเค็มจัดเพราะจะทำให้ใบหน้าหมองคล้ำ
  5. ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน วันละไม่ต่ำกว่า 6-8 แก้ว
  6. พยายามอยู่ในสภาพอากาศที่ดีๆ อากาศกำลังเย็นสบายไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป ไม่มีมลพิษ หรือหาเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดบ้าง โดยสูดหายใจเข้าให้ลึกๆ และหายใจออกทางปากยาวๆ เพื่อเอาอากาศที่ไม่ดีออกมา
  7. นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เวลาที่แนะนำคือควรนอนตั้งแต่ก่อน 5 ทุ่ม ตื่นประมาณ 6 โมงเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด เพราะช่วงเวลา 5 ทุ่ม ถึง ตี 4 เป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่
  8. ควบคุมการทำงานของระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ยิ่งขับถ่ายในเวลาเดิมๆ ในทุกๆ วันได้ยิ่งดี (การดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารมาก ไขมันต่ำ และออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยให้การทำงานของระบบขับถ่ายเป็นปกติโดยอัตโนมัติได้)
  9. ทำใจให้ผ่องใส ไม่เครียด อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลงมากจนเกินไปในแต่ละวัน เมื่อจิตใจเป็นสุข ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook