8 ข้อห้ามของคุณแม่ที่อยาก “คลอดลูกในน้ำ”
เมื่อไม่กี่วันก่อนคงได้ยินดีกับเด็กน้อยน่ารักนามว่า “เป่าเปา” ของดาราสาว กุ๊บกิ๊บ--สุมณทิพย์ ชี (เหลืองอุทัย) แต่ที่น่าสนใจสำหรับคุณแม่ใกล้คลอดทั้งหลาย เห็นจะเป็นเรื่องของการ “คลอดลูกในน้ำ” นี่แหละ (กุ๊บกิ๊บไม่ได้คลอดในน้ำนะคะ แต่ใช้อุปกรณ์ภายในห้องน้ำอย่างอ่างน้ำ โถส้วม ช่วยในการเบ่ง และจบลงที่การคลอดธรรมชาติบนเตียง) การคลอดลูกในน้ำไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของวงการแพทย์ แต่อาจจะแปลกใหม่เล็กน้อยสำหรับเหล่าคุณแม่ในเมืองไทย เพราะส่วนใหญ่วิธีคลอดคงหนีไม่พ้นแค่ 2 ตัวเลือก คลอดธรรมชาติ และผ่าคลอด
วิธีการคลอดลูกในน้ำ
คุณแม่ที่กำลังเจ็บครรภ์ หรือปากมดลูกเปิดพร้อมคลอด จะต้องลงไปแช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นที่อุณหภูมิของน้ำราวๆ 35-37 องศาเซลเซียส จากนั้นแพทย์จะอยู่ข้างๆ คอยให้สัญญาณคุณแม่เตรียมตัวเบ่งอีกที
ข้อดีของการคลอดลูกในน้ำ
1. น้ำอุ่นในอ่างจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี
2. คุณแม่มีอิสระในการเปลี่ยนท่า บิดตัวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
3. น้ำอุ่นจะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และตัวคุณแม่เองได้
4. แรงพยุงตัวของน้ำ จะช่วยให้คุณแม่คลอดบุตรง่ายขึ้น เพราะกล้ามเนื้อจะขยายตัวมากขึ้น
ความเสี่ยงของการคลอดลูกในน้ำ
คุณแม่ที่คลอดลูกในน้ำอาจมีความเสี่ยงต่ออาการน้ำอุดหลอดเลือด หากน้ำเข้าสู่กระแสเลือด สายสะดืออาจขาดเมื่อนำทารกขึ้นจากน้ำ หรืออาจเกิดอาการติดเชื้อได้ แต่ความเสี่ยงดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
คุณแม่อาจไม่เหมาะกับการคลอดลูกในน้ำ หากมีอาการดังต่อไปนี้
1. เป็นโรคติดต่อ หรือติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง หรือบริเวณอวัยวะเพศ เนื่องจากเชื้อเริมสามารถแพร่กระจายในน้ำได้ง่าย
2. ทารกไม่อยู่ในท่าปกติ โดยเอาส่วนแขน ขา หรือก้นออก
3. ทารกมีน้ำหนักตัวมากเกินไป
4. คุณแม่ตกเลือดมาก หรือมีอาการติดเชื้อ
5. คุณแม่ตั้งท้องแฝด
6. คลอดก่อนกำหนด 2 สัปดาห์ หรือมากกว่า
7. คุณแม่มีอาการโลหิตเป็นพิษ หรือครรภ์เป็นพิษ
8. คุณแม่อายุน้อยกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี อาจอยู่ในกลุ่มที่ครรภ์มีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม หากสนใจอยากคลอดลูกในน้ำ ควรปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมตัวเอง และให้แพทย์เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ พร้อมทีมช่วยเหลือให้พร้อมค่ะ ระหว่างนี้ก็ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก theasianparent.com
ภาพประกอบจาก Instagram ‘mmalint’