"ไวรัสซิกา" ไทยเฝ้าระวังขั้นสูงสุด หลังพบผู้ป่วย 70 ประเทศทั่วโลก

"ไวรัสซิกา" ไทยเฝ้าระวังขั้นสูงสุด หลังพบผู้ป่วย 70 ประเทศทั่วโลก

"ไวรัสซิกา" ไทยเฝ้าระวังขั้นสูงสุด หลังพบผู้ป่วย 70 ประเทศทั่วโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จากรายงานขององค์การอนามัยโลก(WHO) พบว่าสถานการณ์ความเสี่ยงโดยภาพรวมทั่วโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่มีโอกาสพบเชื้อไวรัสซิกาได้ทั่วไปในภูมิภาคที่มีพาหะนำโรค ปัจจุบันมี 70 ประเทศทั่วโลกที่พบผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งในบางประเทศก็มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเช่นกัน

สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยครั้งแรก พ.ศ.2555 โดยในช่วง พ.ศ. 2555-2558 พบรายงานผู้ป่วยกระจายทุกภาคและมีผู้ป่วยยืนยันเฉลี่ยปีละ 5 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจที่ต่างประเทศ แต่ปัจจุบันประเทศไทยสามารถตรวจเองได้ และในปี 2559 นี้ ตั้งแต่ต้นปีมีรายงานผู้ป่วยใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถควบคุมโรคได้ในเวลาที่เหมาะสม ปัจจุบันมีเพียง 12 อำเภอ ใน 6 จังหวัด ที่มีรายงานผู้ป่วยและยังอยู่ในระยะควบคุมโรค 28 วัน และยังไม่พบผู้ป่วยได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก  โดยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยรายใหม่ ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ จันทบุรี เพชรบูรณ์ และบึงกาฬ  ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ประสานความร่วมมือไปยังกระทรวงมหาดไทยให้สั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว


สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศไทยขณะนี้ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้

1.ประเทศไทยยังมีรายงานพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

2.หลังดำเนินการควบคุมโรคอย่างเข้มข้นก็จะสามารถควบคุมโรคให้สงบลงได้ในเวลาที่เหมาะสม 

3.ยังไม่พบการระบาดที่ต่อเนื่องยาวนาน

4.ยังไม่พบผู้ป่วยได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก  ทั้งนี้ จากที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น เป็นการสะท้อนถึงมาตรการเฝ้าระวัง ระบบตรวจจับที่ดี การวินิจฉัยโรค และการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งระบบของประเทศไทยนั้นได้รับการยอมรับจากนานาชาติ


ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบเฝ้าระวังของประเทศไทยและติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงใช้มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างเข้มข้นในระดับสูงสุดต่อเนื่อง  ส่วนการดำเนินงานของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศกำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคติดต่อโรคที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558  โดยมีมาตรการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค 4 ด้าน ได้แก่

1.การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา

2.การเฝ้าระวังทางกีฏวิทยา

3.การเฝ้าระวังทารกแรกเกิดที่มีความพิการแต่กำเนิด  

4.การเฝ้าระวังกลุ่มอาการทางระบบประสาท  และต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่ทุกภาคส่วน  ร่วมดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค ให้การสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ร่วมกัน  หากพบผู้ป่วยให้จัดตั้งศูนย์ปฎิบัติการภาวะฉุกเฉิน(EOC) ทั้งระดับจังหวัดและระดับอำเภอ  โดยเน้นดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมโรคเข้มข้นทั้งจังหวัดในระดับสูงสุดทันทีที่พบผู้ป่วย ถึงแม้ว่าจะมีรายงานผู้ป่วยจำนวนหนึ่งในบางอำเภอก็ตาม


สำหรับอาการของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ส่วนใหญ่อาการของโรคไม่รุนแรง และส่วนใหญ่ป่วยแล้วหายได้เอง อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ อาการเหล่านี้ทุเลาลงได้เองภายในเวลา 2-7 วัน จะมีปัญหาเฉพาะกับหญิงตั้งครรภ์ซึ่งมีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่บ่งชี้ว่าอาจสัมพันธ์กับอาการศีรษะเล็กในทารกแรกเกิด โดยทั่วไปหญิงตั้งครรภ์หากติดเชื้อต่างๆ เช่น หัดเยอรมัน และไข้ขี้แมว เป็นต้น ก็อาจส่งผลถึงลูกในครรภ์ได้เช่นกัน เช่น มารดาหากติดเชื้อหัดเยอรมัน ทารกที่เกิดมาอาจมีความพิการ ตาบอด หัวใจพิการ และมารดาที่ติดเชื้อไข้ขี้แมวทารกที่เกิดมาอาจมีความพิการทางสมองได้  


ในปีนี้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เชิญชวนประชาชนร่วมรณรงค์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนนี้ ซึ่งเป็นฤดูระบาดสูงสุดของโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ และเพื่อให้ค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายและจำนวนผู้ป่วยลดลง กรมควบคุมโรค จึงขอความร่วมมือประชาชนในการควบคุมยุงลายในบ้านของท่านเองอย่างสม่ำเสมอ โดยดำเนินตามมาตรการ 3 เก็บ “เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ” เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ ไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา รวมถึงการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด โดยใช้ยาทากันยุง นอนในมุ้ง หรือห้องที่มีมุ้งลวด  ส่วนหญิงตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์ที่สถานบริการสาธารณสุขทั่วไป หากมีอาการผิดปกติให้แจ้งแพทย์ทันที ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

 

 

ภาพประกอบจาก Gettyimages

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook