11 อาหารควรเลี่ยงระหว่างเดินทาง

11 อาหารควรเลี่ยงระหว่างเดินทาง

11 อาหารควรเลี่ยงระหว่างเดินทาง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เคยอยู่ในระหว่างประชุมอันยาวนาน กำลังดูภาพยนตร์ หรือเดตกับคนรู้ใจ หรือกำลังเดินทางไกลบนเครื่องบิน หรือรถไฟ รถบัสขนาดใหญ่อย่างยาวนาน แต่ท้องเจ้ากรรมดันมีอาการไม่ค่อยสู้ดี มีเสียงร้องโครกคราก ท้องอืดท้องเฟ้อ เหมือนอาหารไม่ย่อย หรืออาจจะมีอาการปวดท้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น หากไม่อยากให้ช่วงเวลาสำคัญถูกทำลาย ควรเลี่ยงอาหาร 11 ชนิดนี้ไว้ให้ดีค่ะ

 

  1. น้ำตาลเทียม หรือสารเพิ่มความหวานที่ไม่ใช้น้ำตาล

    ใครที่ต้องการจะลดความอ้วน ด้วยการดื่มน้ำอัดลมที่ใช้สารพวกนี้แทนน้ำตาลเห็นทีจะต้องคิดใหม่ เพราะมีการศึกษาพบว่า เมื่อคนเรารับประทานสารพวกนี้เข้าไป มันจะไปมีผลต่อแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งควบคุมระบบการดูดซึมอาหาร และอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับระบบทางเดินอาหาร เกิดการเปลี่ยนอาหารให้กลายเป็นไขมัน นอกจากจะป่วนระบบการย่อยอาหารแล้ว ยังไม่ช่วยให้น้ำหนักลดลงอีกด้วย


  2. กาแฟ

    เรามักต้องการดื่มกาแฟ เพื่อช่วยให้หายง่วง แต่กาแฟมีคาเฟอีน ซึ่งอาจจะไปเร่งระบบการย่อยอาหารของเรา และทำให้เราท้องเสียได้ กาแฟยังทำขับน้ำออกจากร่างกาย บางครั้งก็อาจทะให้เกิดอาการคลื่นไส้เวียนศีรษะได้ และยังทำให้ท้องของเราผลิตกรดไฮโดรโคลริค หรือ HCT ซึ่งทำให้เกิดอาการจุกเสียด อาหารไม่ย่อยได้ด้วย ดังนั้นหากใครมีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหาร ควรงด หรือลดการดื่มกาแฟ และไม่ควรดื่มในเวลาที่ท้องว่าง


  3. คาราจีแนน

    คาราจีแนน เป็นสารปรุงแต่งอาหารที่สกัดจากสาหร่ายทะเล ใส่เพื่อทำให้อาหารมีความข้นหนืดมากยิ่งขึ้น มักถูกนำมาใช้ในอาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารออแกนนิคหลายอย่างเช่น นมถั่วเหลือง โยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำสลัด ไอศครีม มีการวิจัยพบว่า สารอาหารดังกล่าวนี้ อาจทำให้ลำไส้อักเสบได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ควรรับประทานเลย ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ให้รับประทานวันละ 1 ถ้วยก็พอ แต่หากมีปัญหาระบบทางเดินอาหาร ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีคาราจีแนน


  4. บร็อคโคลี่และผักพวกดอกกะหล่ำ

    ผักเหล่านี้มีส่วนประกอบของน้ำตาลเชิงซ้อนที่ย่อยไม่ได้ และสามารถผลิตแก๊สออกมา ทำให้เรามีอาการท้องอืดได้ แต่ทั้งนี้นักวิจัยไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรรับประทานบร็อคโคลี่เพราะบร็อคโคลี่มีประโยชน์มากมาย เพียงแต่ต้องรู้วิธีการรับประทาน ไม่นำไปต้มนานจนกระทั่งคุณค่าอาหารลดน้อยลง และหากทานบร็อคโคลี่มากเกินไป ก็หาอาหารที่ช่วยย่อย หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ที่จะช่วยในการย่อยผักที่ย่อยยากเหล่านี้เข้ามาช่วยเสริมได้ เช่น โยเกิร์ตเข้มข้น ซึ่งเหมาะจะรับประทานในตอนเช้าพอดิบพอดี


  5. อาหารปราศจากน้ำตาล หรือ Sugar-free

    พวกหมากฝรั่ง หรือขนมหวานที่บอกว่าเป็น Sugar-free นี้ มักจะมีน้ำตาลแอลกอฮอล์ ซอร์บิทอล มัลติทอล และไซลิทอล ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะ หรือบางครั้งก็ทำให้ท้องเสียหากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป สารพวกนี้เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง รวมทั้งนิสัยการเคี้ยวหมากฝรั่งด้วย มันจะไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างกรด และนำไปสู่การเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย


  6. นม ชีส ไอศครีม

    มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย เมื่อรับประทานอาหารพวกนี้เข้าไปแล้วมีอาการอึดอัด ท้องอืด ไม่สบายท้อง หรือบางรายก็ท้องเสีย นั่นเป็นเพราะการขาดเอนไซม์สำหรับการย่อย หรือแลคเตสนั่นเอง ดังนั้นเมื่อรับประทานอาหารนมเนยเข้าไปมากก็เลยทำให้ไม่ย่อย และมีอาการไม่สบายท้องขึ้นมาได้


  7. อาหารทอด

    พวกเฟรชฟราย ไก่ทอด อาหารพวกนี้ เราก็ทราบดีอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรต่อร่างกายนัก แถมยังมีไขมันอีกด้วย นอกจากนี้มันยังทำให้เกิดปัญหากับระบบทางเดินอาหาร มีไฟเบอร์ หรือใยอาหารน้อย ทำให้มันค้างอยู่ในกระเพาะอาหารโดยที่ไม่ย่อยอีกนาน ทำให้รู้สึกอิ่ม แน่นท้อง ท้องอืด และอาหารพวกนี้ยังทำให้ท้องผูกอีกด้วย


  8. ผลไม้จำพวกส้ม

    ถ้าใครที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหารอยู่แล้ว ควรต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างเช่นผัก ผลไม้มาก ๆ แต่ต้องระวังผลไม้ที่เป็นกรด พวกส้ม มะนาว และองุ่น เพราะผลไม้พวกนี้จะทำให้มีปัญหามากขึ้น เมื่อรับประทานเขาไปอาจจะทำให้แสบท้อง มีกรดไหลย้อน จึงควรหลีกเลี่ยง และหันไปทานกล้วยแทน เพราะจะช่วยให้อาการแสบท้อง ไม่สบายท้องนั้นดีขึ้น


  9. หอม กระเทียม

    อาหารเหล่านี้ดูดซึมได้ยาก และทำให้มีแก๊สในกระเพาะ มีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หรือบางครั้งก็ท้องผูก ผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารก็ควรจะต้องหลีกเลี่ยงเช่นกัน สามารถทานได้เล็กน้อย แต่ควรหลีกเลี่ยงการทานเป็นปริมาณมาก


  10. ข้าวโพด

    หากเราเคี้ยวข้าวโพดไม่ละเอียดพอ จะทำให้ย่อยยาก และทำให้อึดอัดท้องได้ หากข้าวโพดนั้นเป็นอาหารโปรดของใคร คำแนะนำที่ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำก็คือ ต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนเสมอ


  11. เนื้อสัตว์ดิบต่างๆ

    เนื่องจากแบคทีเรียในเนื้อดิบนั้น อาจจะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ ดังนั้นต้องระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ หรืออาหารทะเล ต้องผ่านการปรุงด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมเสมอ เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในอาหาร และเนื้อดิบพวกนี้ ต้องเก็บในช่องแข็ง เพื่อกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเติบโต และปรุงให้สุกก่อนนำมารับประทานเสมอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook