วัคซีนมะเร็งปากมดลูก จำเป็นแค่ไหน? ใครต้องฉีดบ้าง?
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านมในประชากรหญิงไทย โดยในแต่ละปีพบผู้ป่วยประมาณ 10,000 คน และเสียชีวิตถึง 5,000 รายต่อปี
สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก
สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกมาจากการติดเชื้อไวรัส Human Papilomavirus หรือเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) สายพันธุ์ 16 และ 18 ทำให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเจริญผิดปกติ และเปลี่ยนเป็นมะเร็งปากมดลูกในที่สุด ดังนั้นจึงมีการคิดค้นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก(HPV) จากสองสายพันธุ์ 16 และ 18 ขึ้นมา
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) มี 2 ชนิด ได้แก่ Quadrivalent vaccine (ชนิดไวรัส 4 สายพันธุ์ คือ 6, 11, 16 และ 18) และ Bivalent vaccine (ชนิดไวรัส 2 สายพันธุ์ คือ 16 และ 18) โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี ควรได้รับให้ครบก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และก่อนการติดเชื้อ สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อแล้ววัคซีนไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้
ทั้งนี้ การป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ส่วนระยะเวลาในการป้องกันโรคของวัคซีนยังคงต้องติดตามผลต่อไป เนื่องจากวัคซีนยังไม่มีข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนยาวเกินกว่า 10 ปี
อาการข้างเคียงจากวัคซีนมะเร็งปากมดลูก
โดยทั่วไปการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก(HPV) มีความปลอดภัยสูง จึงไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง แต่จะพบอาการปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีดวัคซีน ในบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ผื่นคันตามตัว และอาจมีไข้
ดังนั้น หลังจากฉีดวัคซีน ควรนอนพักเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาที และไม่ควรขับรถหรือเดินทางกลับบ้านคนเดียว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้ว แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องการการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์