9 สิ่งควรระวัง เสี่ยงติด "ไข้เลือดออก"
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้โรคหลายชนิดแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะโรคไข้เลือดออกที่สร้างภาระและปัญหาในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เฉพาะต้นปี 2560 นี้พบผู้ป่วยแล้วรวม 4,465 รายจากจำนวนประชากรทั้งประเทศ และมีแนวโน้มว่าอัตราการเจ็บป่วยด้วยไข้เลือดออกจากสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุงลายพาหะของโรค สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชียแนะนำ 9 ข้อควรทำเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกที่มาพร้อมฤดูฝน ดังนี้
- จัดการทิ้งขยะหรือสิ่งของที่น้ำฝนสามารถขังได้ โดยเฉพาะยางรถยนต์เก่า ถังน้ำ สายยาง แจกันดอกไม้ หิ้งพระ หรือภาชนะต่างๆ เพราะยุงลายที่มีเชื้อสามารถมีชีวิตและแพร่พันธุ์ที่ใดก็ได้ที่มีน้ำขัง
- ใช้ยาทากันยุงที่มีสาร DEET และ ICARIDIN สำหรับผิวหนังหรือเสื้อผ้า หรือยาจุดกันยุง สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่ต้องนอนกลางวัน ควรนอนกางมุ้งหรือเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยไล่ยุงและป้องกันยุงลายกัด โดยเฉพาะช่วงเช้าและใกล้ค่ำซึ่งเป็นเวลาที่ยุงลายออกหากิน ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ไม่ใช่ช่วงเวลากลางคืนอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจผิด
- ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด โดยเฉพาะบริเวณ ขา เข่า คอ หู ยุงลายมักชอบบินมากัดทางด้านหลังข้อเท้าและข้อศอก โดยที่เราไม่รู้ตัว
- อย่าประมาทและคิดว่าตนเองสุขภาพแข็งแรงแล้วจะไม่เสี่ยง เพราะไข้เลือดออกสามารถเกิดได้ในทุกวัย ทุกสถานะ ทุกสภาพร่างกาย ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นไข้เลือดออกได้โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีการเพาะพันธุ์และระบาดของยุงลาย
- หมั่นสังเกตอาการต่อไปนี้ซึ่งเป็นอาการไข้เลือดออก ได้แก่ ไข้สูงปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หน้าแดง อาจพบจุดเลือดที่ผิวหนัง หรือเจ็บที่ชายโครงด้านขวา มักไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากไข้เป็นหวัดที่จะมีน้ำมูกร่วมด้วย เว้นแต่จะเป็นไข้ทั้งสองชนิดในเวลาเดียวกันอาจจะมีอาการทั้งไอและมีน้ำมูกด้วย
- หากรู้สึกไม่สบาย หรือสงสัยว่ามีอาการไข้เลือดออก ควรดื่มน้ำเยอะๆ ดูแลไม่ให้ร่างกายขาดน้ำไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันภาวะขาดน้ำไว้ตั้งแต่ในระยะแรกๆ ของการติดเชื้อไข้เลือดออกในกรณีที่ติดเชื้อจริงๆ โดยไม่ต้องรอให้โรคเข้าสู่ระยะวิกฤต ที่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด หรือช็อคแล้วจึงค่อยมาแก้ไขกันทีหลัง จากการศึกษาพบว่าหากได้รับปริมาณสารน้ำปริมาณที่พอเพียงก่อนมาพบแพทย์ 24 ชั่วโมง จะช่วยลดความเสียงที่จะต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลลงได้
- หลีกเลี่ยงการรักษาหรือบรรเทาอาการด้วยตนเอง หรือ รับประทานยาเพื่อลดอาการด้วยตนเองโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะยาจำพวกแอสไพริน หรือยาไอบูโพเฟ่น รวมถึงห้ามทานยาฆ่าเชื้อ เพราะไข้เลือดออกเป็นเชื้อไวรัส ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย
- รีบปรึกษาหรือพบแพทย์ทันทีหากสงสัยว่าเริ่มมีอาการ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง
- ปรึกษาแพทย์หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 9-45 ปี
ศาสตราจารย์แพทย์หญิงอุษา ทิสยากร นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งเอเชีย เปิดเผยว่า
“ไวรัสไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์และเราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสายพันธุ์ใดจะเวียนมาระบาดในแต่ละปี และทุกสายพันธุ์มีความรุนแรงถึงชีวิต เนื่องจากทุกวันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษาไข้เลือดออกนอกจากการรักษาตามอาการ ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โดยนอกจากการป้องกันไม่ให้ยุงกัดและการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายแล้ว ขณะนี้ประเทศไทยมีการจดทะเบียนวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันครบทั้ง 4 สายพันธุ์ จากการทำการศึกษาตัววัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันกว่า 65.6% ช่วยป้องกันการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ 80.8% และป้องกันการเกิดไข้เลือดออกแบบร้ายแรงได้ถึงร้อยละ 93.2”
“นอกจากเด็กแล้ว ผู้ใหญ่เองก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยประชากรผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้นในขณะที่มีเด็กเกิดน้อยลง จึงมีแนวโน้มที่มีผู้เป็นไข้เลือดออกในช่วงอายุที่มากขึ้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติที่ว่าไข้เลือดออกเป็นโรคของเด็ก เพราะในความเป็นจริงไข้เลือดออกนั้นเป็นโรคที่ติดเชื้อกันได้ทุกวัย อย่างไรก็ตามในประเทศไทยอนุมัติให้ใช้วัคซีนไข้เลือดออกได้ในช่วงอายุ 9-45 ปี
นอกจากนี้ผลวิจัยพบว่า เมื่อฉีดวัคซีนในผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนแล้ว วัคซีนกลับยิ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นอีกด้วย การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ไม่เป็นการทำให้เกิดโรคไข้เลือดออกและไม่ถือเป็นการติดเชื้อครั้งแรก จึงมีความปลอดภัย และได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาของไทยให้สามารถนำมาใช้ป้องกันไข้เลือดออกได้ เพื่อเป็นการป้องกันไข้เลือดออกที่มาพร้อมกับหน้าฝนนี้ ”