รู้ยัง? "หนองใน" อาจเป็นเหตุให้ติด "เอดส์" ได้ง่ายขึ้น
"หนองใน" เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้มากชนิดหนึ่งของบรรดาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด โดยจากรายงานของ "กองกามโรค" ซึ่งเป็นหน่วยงานในอดีตพบว่า เมื่อปี 2525 มีอัตราการป่วยด้วยโรคหนองในสูงที่สุดถึงร้อยละ 60 หลังจากนั้นอัตราการป่วยก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จากอัตราการป่วยจำนวน 436 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน ในปี 2530 ก็ลดลงเหลือ 8.4 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน ในปี 2546 แต่ในปี 2547 กลับพบว่ามีแนวโน้มการป่วยด้วยโรคหนองในเพิ่มขึ้นเป็น 10.65 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคนี้ทั้งสิ้น 6,720 ราย เพิ่มจากปี 2546 ถึง 1,432 ราย จึงนับได้ว่าอัตราการเพิ่มของโรคหนองในเป็นสัญญาณอันตรายที่อาจก่อให้เกิดการติดต่อของเชื้อ HIV ได้ง่ายขึ้น ทั้งยังง่ายต่อการแพร่ระบาดของโรคเอดส์อีกด้วย
ปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มของการเกิดโรคหนองในเพิ่มขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงลักษณะของการให้บริการทางเพศ จากบริการทางตรง มาเป็นการบริการแอบแฝง มีการขายบริการทางเพศอิสระ เกิดปัญหาเรื่องโสเภณีเด็ก จึงทำให้การควบคุมและป้องกันเป็นไปได้ยาก
- การเปลี่ยนแปลงลักษณะของการมีเพศสัมพันธ์ในประชากรชาย จากการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการ เปลี่ยนมาเป็นกับหญิงอื่นๆ มากขึ้น
- ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น มีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น เปลี่ยนคู่นอนมากขึ้น อีกทั้งยังไม่มีการป้องกันที่ถูกต้อง
- มีสื่อลามกจำนวนมาก มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเยาวชนก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ทัศนคติของคนในสังคม กระแสวัตถุนิยม วัฒนธรรม และค่านิยมที่เอนเอียงไปเอาตามแบบตะวันตกมากยิ่งขึ้น
- การปฏิรูประบบสาธารณสุขที่มีการปรับเปลี่ยนบทบาทและภารกิจของหน่วยงาน ทำให้หน่วยงานคลินิกกามโรคที่มีอยู่ทั่วประเทศต้องถูกปิดตัวลง ส่งผลให้บริการด้านป้องกันและรักษามีครอบคลุมลดลงไปด้วย
เรื่องต่างๆ ที่กล่าวถึงนี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้แนวโน้มการติดต่อของโรคทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมชาติที่ยากจะควบคุมได้ ทั้งยังมีปัจจัยด้านอื่นๆ ที่ช่วยเสริมให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้นหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ค่านิยม เทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจนถึงการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตก ฉะนั้น การแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะเกิดขึ้นเวลาใด แต่ขึ้นอยู่กับเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมาเสียมากกว่า
อันตรายของหนองใน และความสัมพันธ์กับ ‘เอดส์’
โรคหนองใน เกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า Neisseria gonorrhoeae
อาการในผู้ชาย ส่วนใหญ่หลังจากที่ได้รับเชื้อประมาณ 3-5 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีหนองขุ่นข้นไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด หากไม่รักษาและปล่อยทิ้งไว้ เชื้ออาจลุกลามเข้าสู่อัณฑะ มีโอกาสที่จะทำให้เป็นหมันได้
อาการในผู้หญิง อาการที่แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัด ได้แก่ มีตกขาวเป็นมูกหนอง ปวดท้องน้อย ปัสสาวะแสบขัด ซึ่งเชื้ออาจลุกลามไปถึงมดลูก จนทำให้เกิดการตั้งท้องนอกมดลูกได้
ในความเป็นจริงแล้วโรคหนองใน นั้นมีความสัมพันธ์กับโรคเอดส์ เป็นอย่างดี โดยผู้ป่วยหนองในมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อ HIV ได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งในขณะเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ที่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็สามารถแพร่เชื้อนี้ให้กับผู้ที่สัมผัสได้มากกว่าผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังพบว่าประมาณร้อยละ 77 ของผู้ติดเชื้อ HIV มีปัจจัยเสี่ยงมาจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคหนองในจึงเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ HIV ได้ง่าย
จะป้องกันโรคหนองใน ได้อย่างไร ?
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ปฏิบัติกิจกรรมทางเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe Sex) อาทิ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง, การร่วมเพศโดยไม่มีการสอดใส่ และการร่วมเพศระหว่างคู่นอนที่ไม่มีเชื้อทั้งคู่
- หมั่นรักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ
จะดูแลผู้ป่วยหนองในได้อย่างไร ?
- งดการร่วมเพศ ไปจนถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
- งดดื่มเหล้า, เบียร์ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ให้พาคู่นอนไปตรวจโรคอย่างด่วนที่สุด
- รักษาอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
- เมื่อป่วยแล้วไม่แนะนำให้ซื้อยามารักษาเอง ต้องให้แพทย์เป็นผู้ตรวจและรักษาเท่านั้น เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยาและรักษาไม่หายได้
- เดินทางไปตรวจตามนัดหมายทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ในผู้ชาย ไม่ควรรีดอวัยวะเพศเพื่อดูหนอง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น