รีวิว Samsung Galaxy Note II
รีวิว Samsung Galaxy Note II
มือถือตัวนี้คือ Galaxy Note II N7100 รุ่นที่ขายในไทย ซึ่งซัมซุงประเทศไทยให้ผมยืมเครื่องมาทดสอบประมาณหนึ่งสัปดาห์ สเปกคงหาอ่านกันเองได้ไม่ยากตามเคย และ Note II นี้ชาวบ้านเขารีวิวกันไปเยอะแล้ว ดังนั้นรีวิวชิ้นนี้คงไม่ต้องเกริ่นกันมาก เน้นแต่ประเด็นสำคัญเท่านั้นนะครับ
หมายเหตุ: ซัมซุงลงโฆษณา Note II ใน Blognone เป็นแบนเนอร์ แต่รีวิวนี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับโฆษณาของซัมซุงครับ
Blognone on Galaxy Note 2
ฮาร์ดแวร์และรูปลักษณ์ภายนอก
นับตั้งแต่ Galaxy S III เป็นต้นมา จะเห็นว่าซัมซุงหันมาใช้แนวทางการออกแบบของ S III กับมือถือที่ออกมาหลังจากนั้นด้วย ซึ่ง Note II ก็เป็นหนึ่งในมือถือที่ได้รับอิทธิพลมาจาก S III อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลาสติกสีขาว ขอบโค้ง ฝาหลังบาง เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่ต่างไปคงเป็นเรื่องขนาดที่ใช้หน้าจอใหญ่ถึง 5.5" ความละเอียด 1280x720 ซึ่งในแง่การใช้งานคงไม่ต่างกับ Note รุ่นแรกมาก แต่ถ้าเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด คงต่างกันอยู่เยอะ
เรื่องมือถือจอเล็กหรือใหญ่คงขึ้นอยู่กับความชอบและสไตล์การใช้งานส่วนบุคคล สำหรับผมแล้วต้องอ่านข่าว-บทความเยอะ (ผ่านเว็บและแอพอย่าง Pulse หรือ Pocket) การได้มือถือจอใหญ่ๆ จึงมีประโยชน์กับการอ่านมาก แต่แน่นอนว่ามันมีปัญหาบ้างในการเอื้อมมือไปกดปุ่มที่อยู่ไกลๆ เวลาที่เราใช้งานมือถือด้วยมือเพียงข้างเดียว (แล้วใช้นิ้วโป้งกด) ตัวอย่างเช่น การถือ Note II ด้วยมือซ้าย (จับที่มุมซ้ายล่าง) แล้วไม่สามารถกดปุ่ม Tweet ที่อยู่มุมขวาบนของแอพ Twitter ได้
Galaxy Note 2
ที่ต้องบอกว่า "มีปัญหาบ้าง" เพราะปัญหานี้ไม่ได้เกิดตลอดเวลา และเกิดเฉพาะกับแอพบางตัวเท่านั้น ซึ่งแอพแอนดรอยด์โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปุ่มควบคุมที่มุมด้านซ้ายบนหรือขวาบนมากนัก โดยรวมแล้วถามว่ารำคาญไหม ก็คงตอบว่ารำคาญบ้าง แต่เป็นปัญหาถึงขั้นใช้งานไม่ได้เลยไหมก็ยังห่างไกลกับคำนี้อีกมาก เมื่อแลกกับจอใหญ่ขึ้น อ่านหนังสือง่ายขึ้น ผมว่าคุ้มอยู่
ส่วนเรื่องการพกพานี่ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมสามารถใส่ในกระเป๋ากางเกงได้ตามปกติ เฉกเช่นกับสมาร์ทโฟนทั่วไป
Galaxy Note 2 - S-Pen
นอกจากเรื่องขนาดแล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็แน่นอนว่าเป็นปากกาสไตลัส หรือที่ซัมซุงเรียก S Pen ซึ่งปักอยู่ด้านหลังค่อนไปทางซ้ายมือ ตามภาพ
เมื่อเราดันปากกาออกมาเพียงนิดเดียว Note จะขึ้นเตือนว่าตอนนี้ปากกาถูกถอดออกจากที่เก็บใน notification ของระบบ (ขึ้นค้างไว้จนกว่าจะเสียบกลับคืน) และเข้าโหมดพร้อมสำหรับใช้งานด้วยปากกาในทันที (จะกล่าวต่อไป) น่าจะช่วยลดปัญหาเรื่องการลืมปากกาทิ้งไว้ได้บ้าง
Galaxy Note 2
พอร์ตเชื่อมต่อของ Note II มีน้อยมากๆ เพียงแค่ช่องเสียบ Micro USB กับช่องเสียบหูฟังเท่านั้น กล้องและแฟลชก็ออกแบบเรียบง่าย ไม่มีอะไรพิเศษ ปุ่มอื่นๆ รอบตัวเครื่องมีแค่ปุ่มปรับระดับเสียง (ฝั่งซ้าย) และปุ่ม power (ฝั่งขวา) เท่านั้น ปุ่มด้านหน้าก็ใช้ 3 ปุ่มมาตรฐานของซัมซุงคือ Menu/Home/Back ตามปกติ
Galaxy Note 2 Inside
ฝาหลังของตัวเครื่องเป็นพลาสติกธรรมดา แกะและประกอบคืนยากเล็กน้อย (แต่ไม่ยากจนเกินไป) ข้างในแปะ NFC ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ก็มาตรฐานคือแบตเตอรี่ขนาด 3,100 mAh และช่องเสียบ MicroSIM/MicroSD
กล้อง
กล้องของ Note II น่าจะเป็นกล้องมือถือรุ่นท็อปๆ ในตลาดตอนนี้ ถ่ายสวยในสภาพแสงน้อย ลูกเล่นในแอพกล้องเยอะ (แต่กดเข้าโหมด Macro ยากไปหน่อย น่าจะกดง่ายกว่านี้) ที่เหลือดูกันเองตามภาพตัวอย่าง ผมลองถ่ายมาหลายๆ สภาพแสงให้ดูกันครับ
ซอฟต์แวร์และการใช้งาน
ตัวระบบปฏิบัติการเป็นแอนดรอยด์ 4.1 พร้อม TouchWiz ในแง่การใช้งานคงไม่ต่างอะไรจากระบบปฏิบัติการของ S III มากนัก ฟีเจอร์ส่วนใหญ่เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น S Voice, Smart Stay, S Beam ตรงนี้คงไม่ต้องเขียนถึงให้ซ้ำซากนะครับ
การที่มันเป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1 ทำให้มีฟีเจอร์ Google Now ติดมาด้วย กลายเป็นว่ามือถือของเรามีระบบสั่งงานด้วยเสียงพร้อมกัน 2 ตัวคือ S Voice กับ Google Now ซึ่งเลือกใช้งานได้ตามใจชอบ (กดปุ่ม Home สองทีเข้า S Voice ถ้าอยากใช้ Google Now ต้องใช้ผ่านวิดเจ็ตของกูเกิลเท่านั้น)
ผมวัดคะแนน Quadrant ได้ 5811 คะแนน โดยรวมแล้วใช้งานได้ดีมาก เร็ว ลื่น ตอบสนองรวดเร็ว แบตอึด ที่พบปัญหามีอย่างเดียวคือแอพ Gallery ของซัมซุงทำงานช้ามากกว่าจะโหลดรูปภาพ thumbnail ขึ้นครบ (ทั้งที่รูปมีไม่ถึง 100 รูป) คิดว่าคงเป็นปัญหาเรื่องซอฟต์แวร์มีบั๊กด้วยส่วนหนึ่ง
สรุปแล้ว Galaxy Note II ในฐานะ "มือถือจอสัมผัสที่สั่งงานด้วยนิ้ว" ทำออกมาได้น่าประทับใจ สเปกแรงที่สุดในท้องตลาดขณะนี้ แบตให้มาเยอะจนไม่ต้องกังวลใจเรื่องการชาร์จ จะมีปัญหาก็ตรงที่จอมันใหญ่จนเอื้อมไม่ถึงในบางครั้งเท่านั้น
หมายเหตุ: Note II ได้อัพเกรดเป็นเฟิร์มแวร์ตัวใหม่ที่เปิดสองแอพพร้อมกันแบบแบ่งครึ่งจอได้ แต่เครื่องรีวิวที่ผมได้มามันไม่ยอมอัพเดตให้ เลยขอข้ามการรีวิวฟีเจอร์นี้ไปครับ
S Pen
แต่ Note II ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สั่งงานด้วยนิ้วเพียงอย่างเดียว เพราะจุดขายหลักของมันอยู่ที่ปากกา S Pen นั่นเอง ดังนั้นผมจะพูดถึงตรงนี้เยอะหน่อยนะครับ
เมื่อเราดึงปากกา S Pen ออกมาจากช่อง หน้าจอของ Note II จะเข้าโหมด S Pen โดยเพิ่ม homescreen พิเศษขึ้นมาอีก 1 หน้า (สังเกตตรงเม็ดกลมๆ เล็กๆ ที่บอกตำแหน่งของ homescreen ว่ามันเป็นรูปปากกา อยู่มุมขวาสุด)
หน้าจอนี้ประกอบด้วยวิดเจ็ตสำหรับแอพ S Note ซึ่งเป็นจุดขายหลักของ Note และเปลี่ยนไอคอนของแอพใน launcher ด้านล่างให้เป็นแอพที่เหมาะสำหรับจอสัมผัสให้ด้วย
ส่วนหน้าจอ notification ก็จะเปลี่ยนไอคอนของแอพให้เหมาะกับ S Pen เช่นกัน รวมแล้วถือว่าซัมซุงเชื่อมระบบของ S Pen เข้ากับหน้าจอหลักของแอนดรอยด์ได้ค่อนข้างดี
จุดขายหลักของ Note II คือแอพ S Note สำหรับจดบันทึกข้อมูลสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นลายมือ ตัวอักษรที่แปลงจากลายมือ ภาพบนหน้าจอ ภาพหรือเว็บจากเน็ต รวมถึงบันทึกเสียงได้ด้วย ตรงนี้หลายคนคงเห็นจากโฆษณาของ Note รุ่นต่างๆ ที่ประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว
จากการใช้งาน ในแง่ฟีเจอร์ผมคิดว่าไม่มีปัญหาใดๆ ทำได้เยอะจริงตามโฆษณา แต่อุปสรรคในการใช้งานคือโปรแกรมมันทำได้เยอะเกินจนงงครับ ลองดูภาพหน้าจอประกอบ จะเห็นว่ามันมีปุ่มเยอะแยะเต็มไปหมดจนเราไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ความสามารถอะไรดี
มันไม่เหมือนกับโปรแกรมของแอปเปิลหรือกูเกิลที่ทำออกมาได้เรียบง่ายและลงตัวมากกว่า นี่คงเป็นปัญหาของซัมซุงที่ยังทำการบ้านเรื่องซอฟต์แวร์ได้ไม่ดีเท่าไรนัก ในแง่ความสามารถสอบผ่าน แต่กว่าจะเข้าถึงความสามารถทั้งหมดที่มียังไม่ดีเท่า
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่พบกับ Note II คือโปรแกรมที่รองรับการใช้ S Pen ยังมีไม่เยอะนัก (สามารถโหลดได้จาก Samsung Apps แต่ที่ให้มากับเครื่องมีแค่ S Note กับ S Planner)
นอกจากนี้ งานบางอย่างที่ควรจะใช้กับ S Pen ได้ง่าย เช่น ถ่ายภาพแล้วเขียนข้อความลงบนภาพ กลับกลายเป็นเรื่องยากเกินความจำเป็น เพราะเราต้องสั่ง edit รูปภาพก่อนหนึ่งครั้ง แถมในครั้งแรกมันจะเตือนให้เราติดตั้งโปรแกรม Photo Editor ที่ไม่ได้มาพร้อมกับเครื่องอีกด้วย (ซะงั้น) ตัวโปรแกรม Photo Editor ก็เข้าถึงฟีเจอร์วาดเส้นได้ยาก ต้องกดเข้าไปลึกมาก เป็นต้น
แอพของซัมซุงที่มากับระบบ รองรับการใช้ปากกา S Pen อยู่เงียบๆ เช่น S Voice สามารถเขียนข้อความแทนการสั่งงานด้วยเสียงได้ (มีปุ่มปากกาอันเล็กๆ ให้กด)
ประเด็นเรื่องการแยกแยะลายมือ ภาษาอังกฤษทำได้ยอดเยี่ยมมากจนแทบไม่ผิดเลย (มีสองโหมดคือโหมดปกติ กับ full mode ในภาพเป็น full mode) ส่วนภาษาไทยสามารถใช้ได้แต่โหมดปกติ ยังไม่รองรับในโหมด full และโดยรวมแล้วยังแยกแยะตัวอักษรภาษาไทยได้ไม่แม่นยำนัก
อีกประเด็นหนึ่งที่คนไม่พูดถึงกันนัก คือการใช้ S Pen แทนนิ้วสำหรับการสั่งงานทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับลายมือ (ใช้ปากกาจิ้มจอเหมือนสมัย Windows Mobile) ผมพบว่าโดยทั่วไปทำงานได้ดี ซัมซุงออกแบบให้เราใช้ gesture แทนการกดปุ่ม เช่น กดปุ่มบนปากกาพร้อมวาดลูกศรชี้ไปทางซ้ายแทนการใช้ปุ่ม Back หรือกดปุ่มบนปากกาแล้วจิ้มจอค้างไว้เพื่อจับภาพหน้าจอ เป็นต้น
ปัญหาคือ ซัมซุงดันไม่ทำ gesture สำหรับปุ่ม Home ครับ นั่นแปลว่าถ้าผมอยากใช้ปากกาจิ้มจอแทนนิ้ว อ่านเว็บหรือเข้าเฟซบุ๊ก ผมสามารถทำงานเกือบทุกอย่างด้วยปากกาได้ ยกเว้นการกลับหน้า Home ที่ต้องละมือจากปากกามากดปุ่ม Home บนตัวเครื่องนั่นเอง (ซึ่งปัญหาพวกนี้จะแก้ไขได้ทันที ถ้าซัมซุงเปลี่ยนมาใช้ปุ่มเสมือนบนหน้าจอแบบที่กูเกิลทำกับตระกูล Nexus)
จากภาพข้างบนเป็นคำสั่ง Quick Command โดยเราต้องกดปุ่มบนปากกาแล้วลากเส้นขึ้นไปด้านบน จะพบกับหน้าจอที่ให้เราวาด gesture เพื่อสั่งงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น เขียนเครื่องหมายคำถามพร้อมด้วยคำที่ต้องการ เพื่อค้นคำนี้ในกูเกิล เป็นต้น (ผมว่ามันควรจะเขียนลงไปบนหน้าจอได้เลย ไม่ต้องเปิดหน้า Quick Command ก่อน)
อีกจุดที่รู้สึกว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยคือ หน้าจอ Settings ส่วนของซัมซุงค่อนข้างซับซ้อนและตัวเลือกเยอะมากจนงง ทั้งส่วนของการตั้งค่าปากกา S Pen เอง หรือส่วนของการตั้งค่าฟีเจอร์อื่นๆ เช่น Motion ซึ่งหลายอย่างผมคิดว่าบังคับมาให้เลยก็ได้ ไม่ต้องมีตัวเลือกให้รกและงงเปล่าๆ
สรุป
Galaxy Note II ถือเป็นมือถือที่ผมใช้แล้วชอบมากอีกตัวหนึ่ง จอใหญ่ จอสวย ลื่น เร็ว (ใครเคยฝังใจกับแอนดรอยด์กระตุกๆ แนะนำให้ลองมาเล่นตัวนี้ดู) แบตอึด ฟีเจอร์ครบครัน
ส่วนเรื่องปากกา S Pen ก็มีฟีเจอร์เยอะเท่าที่ซัมซุงสามารถทำได้ แต่เนื่องจากว่ามันเป็นซอฟต์แวร์ที่ซัมซุงเขียนเพิ่มเข้ามาเอง เลยรู้สึกว่ามันยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแอนดรอยด์เท่าไรนัก (แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการใช้งานนะ) ผมคิดว่าถ้ากูเกิลเปิดให้ซัมซุงเข้าไปช่วยพัฒนาแอนดรอยด์ให้รองรับการใช้งานสไตลัสมากกว่านี้ มันจะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่น่ากลัวมากๆ เลยทีเดียว
ราคาของ Note II อาจดูแพงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับมือถือแอนดรอยด์ตัวอื่นๆ แต่เทียบกับ S III แล้วต่างกันไม่มาก เมื่อเทียบกับสเปกโดยรวมที่ใกล้เคียงกัน (อยู่บนฐานฮาร์ดแวร์เดียวกัน) ถ้าเงินถึงอยู่แล้ว การจะเลือก S III หรือ Note II น่าจะตัดสินกันที่ขนาดของหน้าจอว่ารับได้ที่ขนาดใหญ่แค่ไหน มากกว่าเรื่องปากกาที่เป็นของแถมเพิ่มเข้ามา
ปากกา S Pen เป็นเหมือนกับอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้การจดโน้ตทำได้สะดวกขึ้น แต่ในการใช้งานจริง (หมดช่วงเห่อแล้ว) ผมพบว่าไม่ค่อยได้หยิบปากกาออกมาใช้งานเยอะอย่างที่คิดในตอนแรก
โดยสรุปแล้วคือ ถ้าอยากซื้อมือถือแอนดรอยด์รุ่นท็อปที่สุดในขณะนี้ Note II คงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นตัวเดียว ไปจนกว่ากองทัพมือถือชุดใหม่จะเปิดตัวในงาน CES 2013 ต้นปีหน้าครับ
ปิดท้ายด้วยคลิปแนะนำ Note II ตัวเต็มยาว 8 นาที เผื่อมีคนขยันดูจนจบว่ามันทำอะไรได้บ้าง
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย: mk
Facebook :
Facebook :