รีวิว iPad mini (ipad mini review)
รีวิว iPad mini (ipad mini review)
[8-พฤศจิกายน-2555] มาแล้วครับ กับบทความ รีวิว iPad mini (iPad mini review) แท็บ เล็ตขนาด 7.9 นิ้วตัวแรกจาก Apple ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น ไม่ได้อยู่ที่ตัวเครื่องขนาดเล็ก ถือได้พอดีมือเท่านั้น แต่ราคาของ iPad mini (ไอแพด มินิ) ยังถือว่า น่าสนใจไม่แพ้กัน และกลายเป็นคู่แข่งของแท็บเล็ตราคาประหยัดหลายๆ รุ่นในตลาด ณ ตอนนี้อีกด้วย แม้ว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) จะมีราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่เรื่องคุณสมบัติ ฟีเจอร์ และการใช้งานนั้น ทาง Apple มั่นใจว่า ดีกว่าอย่างแน่นอนครับ
เริ่มต้นบทความ รีวิว iPad mini (ipad mini review) ด้วยสเปค iPad Mini กันก่อน ดังนี้ครับ
- หน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล (163 ppi)
- ระบบประมวลผลแบบ Dual-core processor (Apple A5 chipset) ซึ่งเป็นซีพียูเดียวกับ iPad 2
- RAM ขนาด 512MB
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16GB, 32GB และ 64GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลช
- มีรุ่นรองรับเครือข่าย 3G และ 4G
- น้ำหนัก 308 กรัม
iPad mini : การออกแบบ
iPad mini (ไอแพด มินิ) มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดเดียวกับ iPad 2 นั่นเอง หรือจะเรียกง่ายๆว่า iPad Mini คือ iPad 2 ย่อส่วน แต่สามารถใช้งานได้เทียบเท่า iPad ขนาดใหญ่ครับ ส่วนความละเอียดพิกเซลต่อนิ้ว หรือ ppi นั้น อยู่ที่ 163ppi เท่านั้น เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตคู่แข่งอย่าง Nexus 7 หรือ Kindle Fire HD (216ppi) หรือ Nook color (243ppi) ถือว่า iPad mini มีค่า ppi ที่ค่อนข้างต่ำ แต่ไม่มีผลต่อการใช้งานมากเท่าที่ควรครับ
ด้านหลังตัวเครื่อง เป็นวัสดุเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) นั่นก็คือ anodized aluminum โดย iPad mini รุ่น Wi-Fi จะมีลักษณะเป็นผิวเรียบธรรมดาๆ แต่ถ้าเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะมีแถบสัญญาณสีดำ คาดด้านบนตัวเครื่อง เช่นเดียวกับ iPad ขนาดใหญ่ ส่วนลำโพงนั้น ได้เปลี่ยนจากตำแหน่งในด้านหลัง ที่มีแค่ช่องเดียว มาอยู่ท้ายเครื่องในด้านล่างแทน
ปุ่ม Home ในตำแหน่งด้านหน้าตัวเครื่องนั้น ยังมีลักษณะเหมือนเดิม และมีเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น ไม่มีปุ่มเมนูแบบ capacitive button เช่นเดียวกับแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ
สำหรับ iPad mini รุ่น Wi-Fi นั้น ด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นผิวเรียบๆ ครับ ไม่มีปุ่ม หรือพอร์ตอื่นๆ
ส่วนด้านขวา มีปุ่มปรับเสียง และปุ่มปิดเสียง/ล็อคการหมุนของหน้าจอครับ ซึ่งสีของปุ่มนั้น เป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง
ด้านบนของตัวเครื่อง เป็นช่องสำหรับหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตรงกลางตัวเครื่อง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง
พอร์ตการเชื่อมต่อด้านล่าง มีการเปลี่ยนใหม่ครับ เป็นพอร์ตแบบ Lightning connector ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับที่ใช้บน iPhone 5 ส่วนด้านข้างนั้น เป็นลำโพงครับ
กล้องด้านหลัง เป็นกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่า เป็นความละเอียดที่กำลังดีสำหรับผู้ที่ชอบแท็บเล็ตที่มีกล้องถ่ายรูปแบบชัดๆ และสามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 1080p เลยทีเดียว แต่กล้องด้านหลังบน iPad mini นั้น ไม่มีไฟแฟลชครับ
สำหรับคุณสมบัติของกล้อง iSight บน iPad mini (ไอแพด มินิ) ได้แก่ รูรับแสงขนาด ƒ/2.4, มีระบบ Face detection ตรวจจับใบหน้า และระบบ Auto focus นอกจากนี้ ยังมี hybrid infrared filter ซึ่งเป็นฟิลเตอร์แบบเดียวที่ใช้บนกล้อง DSLR ราคาแพงอีกด้วย
ส่วนกล้องด้านหน้า เป็นกล้องแบบ FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 720p นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งาน FaceTime ผ่านเครือข่าย 3G หรือ 4G ได้อีกด้วยครับ
สำหรับน้ำหนักของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น อยู่ที่ 308 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi หรือ 312 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ซึ่งแม้ว่า จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว อย่าง Nexus 7 แต่น้ำหนักกลับเบากว่าครับ ส่วนความหนาของตัวเครื่องนั้น อยู่ที่ 7.2 มิลลิเมตรเท่านั้น เทียบกับ Nexus 7 (10.45 มม.) ถือว่า iPad mini บางกว่ามากทีเดียว
iPad mini : เปรียบเทียบความละเอียดของหน้าจอ กับ iPad รุ่นพี่
อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นครับว่า iPad mini นั้น มีความละเอียดอยู่ที่ 1024 x 768 พิกเซล เท่านั้น เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตคู่แข่งอย่าง Nexus 7 ถือว่า ละเอียดน้อยกว่ามาก เนื่องจาก Nexus 7 นั้น มีความละเอียดอยู่ที่ 1280 x 800 พิกเซล แต่ถ้าเทียบในเรื่องของความสบายตาแล้ว จริงอยู่ที่หน้าจอที่มีความละเอียดสูงกว่า จะอ่านได้สบายตากว่า แต่ก็ถือว่า ไม่ได้มีผลต่อการใช้งานมากครับ
mini บางกว่ามากทีเดียว
iPad mini : Smart cover
สำหรับอุปกรณ์เสริม iPad mini (ไอแพด มินิ) อย่าง Smart Cover นั้น มีความเหมือนกับ Smart Cover บน iPad รุ่นใหญ่ตรงที่ สามารถพับได้ 3 ตอนเหมือนกัน และเมื่อเปิดแผ่นพับออก หน้าจอก็สว่างเองอัตโนมัติ แต่ความแตกต่างของ Smart Cover บน iPad mini กับ Smart cover บน iPad รุ่นใหญ่ อยู่ตรงที่ด้านข้างตัวเครื่องครับ
จะเห็นได้ว่า ขอบที่เป็นเหมือนบานพับของ Smart cover บน iPad mini นั้น จะไม่ใช่เหล็ก 2 อันแยกกันแบบ Smart cover ของ iPad 2 หรือ The new iPad อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นแบบเดียวกับแผ่น Smart cover เลยนั่นเอง ซึ่งข้อดีของแผ่น smart cover แบบนี้ก็คือ ไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอยขณะแป๊กติดกับตัวเครื่องครับ ท่านใดเคยใช้ Smart cover กับ iPad 2 หรือ The new iPad จะเห็นว่า เมื่อดึงเข้าดึงออกบ่อยๆ จะเกิดรอยเล็กๆ ที่ตัวเครื่อง แต่แผ่น Smart cover แบบนี้ จะไม่เกิดรอย เนื่องจากไม่ใช่เหล็ก ปะทะกับเหล็กนั่นเอง
iPad mini : ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่
Apple ได้เคลมความสามารถของแบตเตอรี่บน iPad mini ไว้ตั้งแต่ตอนเปิดตัวแล้วว่า สามารถใช้งานได้นานถึง 10 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้ เว็บไซต์ theverge จึงได้ทำการทดสอบโดยการใช้งานอย่างหนักทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็น เช็คอีเมล ท่องเว็บ, เล่นเกม, ฟังเพลง หรือแม้แต่ดูวิดีโอ และได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจครับ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า แบตเตอรี่จะหมดลงแต่อย่างใด ซึ่ง theverge คอมเมนต์ว่าใช้งานได้ถึงวันถัดไปเลยครับ
iPad mini : บทสรุปการใช้งาน
เว็บไซต์ theverge ให้ความพึงพอใจต่อ iPad mini ในเรื่องของ Ecosystem ครับ นอกจากนี้ ยังชื่นชมว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) เป็นแท็บเล็ตที่ดี ทั้งในเรื่องของการออกแบบ ความทนทานของวัสดุที่ใช้ในการผลิต รวมไปถึงแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานได้ยาวนานด้วยนั่นเอง แต่สิ่งที่ทาง theverge ไม่ประทับใจต่อ iPad mini นั้น ก็คือ ความละเอียดของหน้าจอครับ รวมไปถึงราคา ที่ยังอยู่ในระดับที่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่โดยรวมแล้วถือว่า ดีครับ
ต้นฉบับบทความรีวิว : theverge.com
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ จาก Techmoblog