วิธีเพิ่มความแรงฮาร์ดดิสก์ ติดสปีดถึง 500MB/s!!

วิธีเพิ่มความแรงฮาร์ดดิสก์ ติดสปีดถึง 500MB/s!!

วิธีเพิ่มความแรงฮาร์ดดิสก์ ติดสปีดถึง 500MB/s!!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วิธีเพิ่มความแรงฮาร์ดดิสก์ ติดสปีดถึง 500MB/s!!

ผมเคยโพสต์ในหน้าแฟนเพจ i3.in.th เอาไว้แล้วว่าถ้าอยากให้ฮาร์ดดิสก์แรง จะมาแนะนำให้ทุกคน วันนี้จัดให้แล้วครับ

จากเดิมฮาร์ดดิสก์ผมวิ่งได้แค่นี้

เมื่อผมจัดความแรงให้ ก็กลายเป็นแบบนี้

แม้ว่ายุคนี้จะเป็นยุคของ SSD (Solid State Drive) ก็ตามที แต่ยังคงมีอีกมากที่จะเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์มากกว่าเป็นไหนๆ เนื่องจากด้วยความจุที่เยอะกว่า ประกอบกับราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว เมื่อเทียบจำนวนกิ๊กกะไบต์ต่อจำนวนเงินบาทที่เราจะต้องสูญเสียไปกับการให้ได้มาอย่าง Solid State Drive หรือ SSD สักลูกนึง แต่ก็แน่นอนล่ะ เราก็ต้องจำใจยอมรับความเร็วที่ได้มาไม่มากเมื่อเทียบกับ SSD ต่อให้เอาฮาร์ดดิสก์ทำ Raid ก็เถอะ บางคนก็อยากใช้ SSD แต่ก็ยังกลัวอะไรต่างๆนาๆ วันนี้ผมก็เลยมีตัวเลือกอีกทางนึงเพื่อที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ของทุกท่านๆแรงติดสปีดแบบนี้ และนั่นคือการทำ SSD Caching นั่นเองครับ

SSD Caching นั้นหลักการของมันง่ายมาก คือการนำ SSD มาทำหน้าที่เป็นแคช หรือเป็นตัวพักข้อมูลและทำการส่งข้อมูลที่ถูกเรียกใช้งานบ่อยแทนที่ฮาร์ดดิสก์จะต้องมาทำหน้าที่นั้น ทั้งหมดในการทำนั้นก็มีหลายแบบแตกต่างกันไปครับ ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างมาอย่างน้อยสัก 3 วิธีก่อนแล้วกันครับ ซึ่งแน่นอนว่า 3 วิธีดังกล่าวต้องใช้ SSD เข้าร่วมด้วย

วิธีที่ 1: ใช้ Intel Smart Response Technology

วิธีแรกนี้เป็นเทคโนโลยีจากอินเทลโดยที่ SSD จะทำหน้าที่เป็นแคชหรือเป็นตัวพักข้อมูลที่เราใช้งานบ่อยเพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านและตอบสนองการทำงานของแอพพลิเคชั่นให้ได้เร็วมากขึ้นถึง 4 เท่าตัว ลองดูตัวอย่างในคลิปนี้กันได้เลยครับ

สำหรับการที่เราจะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนั้น ผู้ใช้จะต้องใช้ซีพียูและเมนบอร์ดอินเทลเท่านั้นครับ ค่ายอื่นๆก็อดกันไป การใช้งาน Intel Smart Response Technology นั้นไม่อยาก เพียงเราติดตั้ง HDD + SSD จากนั้นเข้าไปเปลี่ยนโหมดการทำงานของ SATA จาก IDE / AHCI ให้กลายเป็น RAID แทนครับ จากนั้นให้ทำการติดตั้งวินโดวส์ลงบนฮาร์ดดิสก์ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ติดตั้ง Software Intel คือ Intel Smart Response Technology แล้วทำการเปิดฟังก์ชั่นขึ้นมาใช้งาน ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ หากใครยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมมีคลิปการติดตั้งให้ดูตามด้านล่างนี้ครับ

จากการที่ได้ลองใช้ Intel Smart Response Technology นั้นก็จะมีข้อดีอยู่ตรงที่การที่เราจะนำ SSD มาทำเป็น SSD Caching นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ SSD ที่มีความจุเยอะ แค่ต้องการใช้ขนาด SSD เพียง 8GB เป็นอย่างต่ำหรือสามารถใช้รองรับได้สูงสุดที่ 64GB ถือว่าช่วยให้การอ่านได้เร็วและแรงเช่นเดียวกันครับ แต่จะมีข้อสังเกตอยู่อย่างนึงตรงที่ Access time หรือเวลาในการเข้าถึงข้อมูลนั้นจะทำได้ค่อนข้างช้าเทียบเท่ากับฮาร์ดดิสก์ อีกประการหนึ่งคือ การที่จะใช้เทคโนลียีนี้ได้ จะต้องมี Intel Smart Respone ซึ่งมีอยู่ในเมนบอร์ดชิพเซ็ตอินเทล Z68, Z77 และรุ่นอื่นๆบางรุ่นเท่านั้น และ SSD ที่นำมาติดตั้งจะถูกใช้งานพื่อทำ Cahcing เท่านั้น

วิธีที่ 2: ใช้ SSD แต่จับ Intel Smart Response มาใช้ให้เป็นประโยชน์

ถ้าอยากใช้ Intel SmartResponse ด้วย แต่ก็อยากใช้ SSD ไปด้วย ก็พอจะทำได้บ้างครับโดยการที่เรานำ SSD มาทำการแบ่ง Partition ไว้บางส่วนเพื่อใช้งานร่วมกับ Intel Smart Response แต่ว่า SSD ลูกนั้นจะต้องมีความจุที่เยอะอยู่ในระดับนึงครับเพื่อให้มีพื้นที่พอในการทำ Caching และบางส่วนเพื่อเอาไว้เก็บข้อมูล ซึ่งดูแล้วค่อนข้างยุ่งยากไปนิด และการทำอาจจะต้องเพิ่มขั้นตอนในการทำ Partition แถมราคาที่ต้องเสียไปกับ SSD อาจจะสูงขึ้นเพื่อที่ให้ได้ความจุที่เพียงพอ

วิธีนี้จึงเป็นอีกตัวเลือกนึงสำหรับผู้ที่อยากได้ประโยชน์ในการซื้อ SSD มาใช้สำหรับการเก็บข้อมูลและ Caching ประมาณว่าจับปลาสองมือน่ะแหละครับ

วิธีที่ 3: ใช้ Solid State Cache

แบบที่สองนี้จะเหมือนกับวิธีแรกในบางอย่าง และแตกต่างกันบางอย่าง เริ่มจากหน้าที่การทำงานของ Solid State Cache นั้นจะทำหน้าที่แบบเดียวกับวิธีแรก แต่วิธีนี้จะไม่ง้อ Intel Smart Response แต่จะใช้ Software ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกว่า Caching Software ซึ่งจะทำหน้าที่ได้โดยให้ Active Data คือข้อมูลที่ใช้บ่อยถูกจัดเก็บในตัว SSD และ Inactive Data หรือข้อมูลที่ไม่ค่อยได้ใช้งานจะจัดเก็บในฮาร์ดดิสก์

Crucial Solid State Cache ความจุ 50GB ที่มากับ Caching Software

และไม่ต้องใช้การเปิดฟังก์ชั่น Raid บนบอร์ดแต่อย่างใด สามารถใช้บนเมนบอร์ดและซีพียูได้ทั้งอินเทลและเอเอ็มดี ความแตกต่างอีกอย่างนั้นคือ SSC ที่เรานำมาใช้จะเป็น SSC ที่รองรับการเอาไปทำ Cache อย่างเดียวเท่านั้นครับ วิธีนี้ถ้าจะทำให้ความเร็วในการอ่านเขียนเร็วขึ้นมากเช่นกัน และ ยิ่งถ้า Solid State Cache รองรับ SATA 6GB/s ก็จะทำให้การอ่านเร็วขึ้นมาก แต่ SSC ที่นำมาติดตั้งเป็น Cache จะไม่สามารถเอาเนื้อที่บน SSC นั้นมาใช้งานได้ครับ

นี่คือ Harddisk อย่างเดียวก่อนการติดตั้ง SSC

ผลหลังการติดตั้ง SSC ความเร็วการอ่านเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า

นอกจากที่วิธีนี้ยังไม่เกี่ยงค่ายแล้ว ยังสามารถทำให้ Access time มีความเร็วเดียวกับ SSD เช่นกัน แต่ข้อสังเกตของวิธีนี้คือ ตัวที่มาใช้เป็น SSC จะไม่สามารถนำไปทำงานแบบเดียวกับ SSD ได้ ถึงได้ ความเร็วในการเขียนจะมีระดับต่ำและอาจจะต่ำเท่าฮาร์ดดิสก์เนื่องด้วยราคาที่ย่อมเยากว่าและ Solid State Cache ราคาปัจจุบันยังไม่แพงมากแต่ก็ยังไม่แพร่หลายในบ้านเรา แต่ไม่ว่าถ้าอ่านกระทู้นี้ไป อาจจะมีเพิ่มมากขึ้นก็ได้นะครับ ขำๆกันไป อิอิ

วิธีสุดท้ายเพิ่มอีกนิด แต่ไม่เกี่ยวกับการทำ SSD Caching เลยนั่นก็คือ การติดตั้งวินโดวส์ลงไปบน SSD เลยแล้วลงแอพพลิเคชั่นอะไรต่างๆนาๆให้ครับ แล้วให้ HDD เป็น Storage เพื่อเก็บข้อมูลซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายสุดๆแล้ว แต่มันก็จะยุ่งยากที่จะต้องมาทำการติดตั้งวินโดวส์พร้อมแอพพลิเคชั่นต่างๆใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจจะต้องใช้ SSD ที่มาความจุมากในระดับนึงให้เพียงพอกับขนาดที่เราเคยลงวินโดวส์บนฮาร์ดดิสก์ ซึ่งงบท่าทางจะบานปลาย หรืออาจจะต้องประหยัดเนื้อที่ใช้สอยเอากันเอง

จากในการทำ SSD Caching นั้นประโยชน์ของมันเองจริงๆคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับฮาร์ดดิสก์ลูกเดิมๆ ของเราในด้านของการอ่านข้อมูลสูงขึ้น แต่ประสิทธิภาพในการเขียนยังคงความเร็วเดิมคือเท่ากับฮาร์ดดิสก์ปกติ โดยไม่ต้องไปทำการแก้ไขหรือใช้ทุนทรัพย์ให้มากๆโดยการซื้อ SSD ราคาแพงๆความจุเยอะๆให้ใกล้เคียงฮาร์ดดิสก์ปัจจุบัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคเล็กๆน้อยๆให้เอามาฝากกันครับ ^^"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook