อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ Apple ในยุคหลัง Jobs
i3 Scoop : อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ Apple ในยุคหลัง Jobs
จะว่าไปแล้ว การที่ Steve Jobs ประกาศลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Apple ก็ไม่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมากเกินไปนัก เพราะนับตั้งแต่เมื่อเจ้าตัวลาป่วยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลายคนก็เริ่มทำใจและภายใน Apple เองก็เริ่มพูดถึงผู้ที่จะมาสานเจตนารมณ์กันบ้างแล้วดังที่เคยรายงานข่าวให้ทราบกันเป็นระยะ
ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า Tim Cook หนึ่งในสมุนมือดีของ Jobs นั้นเป็นผู้ที่จะมานั่งตำแหน่งซีอีโอของหนึ่งในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้และเป็นผู้ที่จะมารับภาระอันหนักอึ้งเนื่องด้วยความคาดหมายที่สูงทั้งจากคนในและคนนอก แต่ก่อนที่เราจะมาวิเคราะห์ถึงแนวโน้มความน่าจะเป็นของ Apple ยุคหลัง Steve Jobs ผมขอนำพาท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดูว่าตลอด 35 ปีที่ Jobs เข้าๆ ออกๆ Apple นั้น เขาได้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นมาตรฐานอะไรเอาไว้บ้าง เพื่อที่จะพอคาดได้ว่า Tim Cook จะต้องเผชิญกับแรงกดอะไรนับแต่วันนีี้
Apple I และ II
วันที่ 1 เมษายน 1976 Steve Jobs, Steve Wozniak และ Ronald Wayne ทั้งหมดได้ร่วมกันก่อตั้ง Apple เพื่อวางจำหน่าย Apple I คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกๆ ของโลก ซึ่งไม่ได้มีหน้าตาเหมือน iMac อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันหรอกนะครับ เพราะวางจำหน่ายในรูปแบบแผงวงจรพร้อมใช้ที่ประกอบโดย Steve Wozniak เองแต่ก็นับว่าก้าวหน้ากว่าคอมพิวเตอร์แบรนด์อื่นในตอนนั้นที่ส่วนใหญ่จะวางขายเป็นชุดคิท ส่วน Jobs เป็นผู้รับผิดชอบงานขายและระดมทุนเป็นหลัก
ในปีต่อมา Apple ได้รับการจัดตั้งให้เป็นนิติบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบ และในปีเดียวกันนี้ Ronald Wayne ผู้ก่อตั้งร่วมก็ได้ตีจาก Apple ไปโดยได้ขายหุ้นในส่วนของตนให้กับ Jobs และ Woz เป็นมูลค่าเพียง 800 เหรียญสหรัฐเท่านั้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงอีกเลย ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
เดือนเมษายน 1977 หนึ่งปีหลังจากที่วางจำหน่าย Apple I ทางบริษัทก็ได้เริ่มต้นวางขาย Apple II ซึ่งมีจุดเด่นเหนือคู่แข่งในตอนนั้นมาก เช่น สามารถแสดงกราฟิกสีและมีสถาปัตยกรรมแบบเปิด จึงทำให้ผู้สนใจสามารถพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อนำมาใช้งานร่วมกันได้ ที่โดดเด่นตอนนั้นก็เห็นจะไม่มีอะไรเกิน VisiCalc ซอฟท์แวร์เสปรดชีทที่ทำให้ Apple II กลายเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับภาคธุรกิจและ Home Office ไปโดยปริยาย จึงทำให้พูดได้อย่างเต็มปากว่าซอฟท์แวร์นี้เปรียบเหมือนกับ killer app ตัวแรกของ Apple เลยทีเดียว
กำเนิด GUI (Graphical User Interface)
บทความตามสื่อต่างๆ มักให้เครดิต Apple ว่าเป็นผู้คิดค้น GUI ซึ่งแท้จริงแล้วไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดนะครับ โดยเมื่อตอนที่ Jobs และคณะได้เข้าไปเยี่ยมชม Xerox PARC นั้นได้เข้าเห็นเครื่อง Xerox Alto ซึ่งใช้ GUI เข้า Jobs เลยเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าเจ้านี่แหละคืออนาคตของคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้น Apple ได้ใช้เวลาเจรจาถึงสามวันกว่าที่ Xerox จะอนุญาตให้เข้าถึงโรงงานและเจ้าเครื่องดังกล่าวได้ โดยแลกเปลี่ยนกับการซื้อหุ้นในราคาก่อนเข้าสู่ IPO และได้นำ GUI ไปใช้กับ Apple Lisa เป็นเครื่องแรกๆ
ในช่วงนี้พนักงานภายใน Apple ได้แบ่งออกเป็นสองทีมใหญ่ด้วยกัน คือทีมที่พัฒนา Apple Lisa สำหรับลูกค้าองค์กรและ Macintosh สำหรับลูกค้าทั่วไป ทั้งสองทีมต่างแข่งกันเองโดยได้แรงหนุนจาก Jobs เพื่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมแรกที่สามารถจำหน่ายคอมพิวเตอร์ที่มี GUI ได้เป็นผลสำเร็จ แรกเริ่มนั้น Jobs อยู่ในทีมเดียวกับ Lisa แต่ก็โดนบังคับให้ออกมาเข้าร่วมทีม Macintosh หลังจากใช้เวลากว่า 4 ปี ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ทีม Lisa จะเป็นผู้ชนะโดยสามารถผลิตให้ทันวางจำหน่ายได้ปี 1983 แต่ก็นับว่าเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะราคาขายที่แพงเกินภาคธุรกิจจะรับไหว และคู่แข่งที่กำลังมาแรงอย่าง IBM ก็เริ่มต้นผลิต IBM PC มาตีตลาดด้วยเช่นกัน อีกทั้งในปี 1984 เครื่อง Macintosh ก็ได้เริ่มวางตลาดด้วยราคาขายที่ถูกกว่าและหน้าจอ GUI ที่พัฒนาออกมาดีกว่า ทั้งหมดนี้ทำให้ Lisa ถูกลืมไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว
NeXT กับก้าวถัดมาของ Jobs
หลังจากที่ Macintosh วางจำหน่ายได้ไม่นาน ในปี 1985 Jobs และ John Sculley ซีอีโอ Apple ในตอนนั้นได้เริ่มต้นถกเถียงกันอย่างรุนแรงในประเด็นโครงการทดลองของผ่ายแรกที่ใช้เงินงบประมาณมาก หลังจากที่ Jobs ประสบความล้มเหลวในการกำจัด Sculley ออกไปให้พ้นทางนั้น ทางบอร์ดผู้บริหาร Apple ได้ตัดสินใจปลด Jobs ออกจากตำแหน่งเสีย หลังจากนั้นเจ้าตัวจึงได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัทที่ตนตั้งขึ้นมากับมือเพื่อไปเปิดบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ NeXT Inc, เพื่อพัฒนาซอฟท์แวร์และคอมพิวเตอร์สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนแทน
อย่างไรก็ตาม NeXT ก็ไม่สามารถทำยอดขายสินค้าของตนได้ดีนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าซอฟท์แวร์ที่ค่ายนี้ทำออกมานั้นถือว่าเยี่ยมยอดมาก จนทำให้ในปี 1996 Apple ได้ตัดสินใจซื้อกิจการบริษัทนี้เป็นจำนวนเงิน 429 ล้านเหรียญแถมด้วยหุ้น 1 ล้าน 5 แสนหุ้นซึ่งได้มอบให้กับ Steve Jobs ไป เหตุผลหลักที่ Apple ซื้อกิจการ NeXT ก็คือระบบปฏิบัติการ NeXTSTEP ที่ทางบริษัทต้องการนำมาใช้เป็นฐานการพัฒนาระบบทั้งปวง ในขณะเดียวกัน Jobs ก็กลับเข้ามาทำงานร่วมกับ Apple อีกครั้งในฐานะที่ปรึกษา และเลื่อนขึ้นมาเป็นรักษาการซีอีโอในปี 1997 หลังจากที่บอร์ดผู้บริหารได้ตัดสินใจปลด Gil Amelio ออกจากตำแหน่งซีอีโอเพราะทำมูลค่าหุ้นและรายได้ร่วงตกต่ำ และในปี 2000 สามปีหลังจากที่อยู่ในตำแหน่งรักษาการ Jobs ก็กลับเข้ามาเป็นซีอีโอเต็มตัวอย่างสมบูุรณ์แบบ
นอกจาก Apple จะได้ NeXTSTEP และ Jobs เข้ามาแล้ว ผลพลอยได้อีกอย่างติดมาด้วยจากการซื้อ NeXT ก็คือวัฒนธรรมองค์กรแบบก้าวหน้าที่ Jobs คิดค้นใช้กับ NeXT เป็นที่แรกๆ เข่น ระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมถึงคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันด้วย ซึ่งเกร็ดตรงนี้น่าสนใจมากนะครับ เพราะแอบได้ยินสื่อบางแห่งอ้างว่า Tim Cook เป็นเกย์! ซึ่งถ้าจริงพ่อครัวคนนี้ก็คงกลายเป็นเกย์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกไปแล้ว...
กำเนิดใหม่ Apple
ในช่วงที่ Steve Jobs ได้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งซีอีโออีกครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาที่ Apple ถึงคราวตกต่ำเป็นจนใกล้สภาพล้มละลาย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหลักที่ Jobs ตัดสินใจทำข้อตกลงกับ Microsoft ในปี 1997 โดยให้ฝ่ายหลังเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนเงิน 150 ล้านเหรียญโดยแลกเปลี่ยนกับ non-voting stock (หุ้นที่ขายให้กับนักลงทุนโดยที่ผู้ซื้อแทบจะไม่สามารถลงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับกิจการภายในบริษัทได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการลงคะแนนเสียงในบอร์ดหรือการควบรวมกิจการ) และอนุญาตให้สามารถพัฒนา Microsoft Office สำหรับเครือง Mac ได้ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับนับว่า Jobs ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดมากเพราะไม่เช่นนั้น Apple คงไม่มีเงินทุนมาพัฒนาอะไรเพิ่มเติม
และในปีเดียวกันนี้ Jobs ก็ได้เปิด Apple Store Online หรือร้านค้าออนไลน์สำหรับซื้อสินค้าของ Apple เป็นครั้งแรกด้วย โดยนับเป็นบริษัทแรกๆ ที่ตระหนักถึงเทรนด์อีคอมเมิร์ชที่กำลังจะมาถึง ก่อนที่จะเปิดเป็นเวอร์ชั่นร้านค้าปลีกในปี 2001
ในปี 1998 Apple ได้ฤกษ์เปิดตัว iMac เวอร์ชั่นแรกด้วยแนวคิดของ Jobs ที่ต้องการทำให้คอมพิวเตอร์เป็นศูนย์รวมความบันเทิงดิจิตอลสำหรับคนทั้งบ้านในยุคอินเตอร์เน็ต ที่สำคัญคือคอมพิวเตอรออล-อิน-วันตัวนี้นับเป็นผลงานการออกแบบชิ้นแรกของ Jonathan Ive เทพด้านการออกแบบที่ Jobs อิมพอร์ตมาจากอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Ive ก็ได้กลายมาเป็นวงในของ Apple ที่ใกล้ชิดกับ Jobs และมีส่วนในการช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของบริษัทแทบทุกขิ้น ไล่ไปตั้งแต่ PowerBook G4, Cube, MacBook, MacBook Pro, MacBook Air, iPhone และ iPad
ในช่วงเดียวกันนี้ Jobs ก็ได้พัฒนาแนวทางของบริษัทให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าครีเอทีฟที่ทำงานด้านการออกแบบสร้างสรรค์เป็นหลัก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ในปัจจุบันเรามักเห็นพวกที่ทำงานด้านนี้อย่างนักออกแบบ ช่างภาพ หรือนักดนตรี ใช้ iMac เป็นหลักแทนที่ Windows PC โดยในช่วงนี้ Apple ได้เริ่มต้นเข้าซื้อซอฟท์แวร์ด้านการออกแบบต่างๆ ที่ต่อมาได้กลายมาเป็นซอฟท์แวร์สามัญสำหรับทำงานด้านนี้ไปแล้ว เช่นเข้าซื้อ Final Cut จาก Macromedia และ Shake จาก Nothing Real แล้วพัฒนาต่อมาเป็น iMovie และ Final Cut Pro ซื้อ Logic จาก Emagic แล้วพัฒนาต่อยอดมาเป็น GarageBand, Logic Express และ Logic Pro รวมทั้งได้พัฒนา iPhoto ด้วยตัวเองรวมทั้ง iLife ที่ติดมากับ iMac ทุกเครื่อง ทำให้ตอนนี้ Apple มีชุดซอฟท์แวร์ที่ตอบสนองต่อการทำงานด้านออกแบบอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการตกแต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอ หรือเรียบเรียงงานดนตรี ซึ่งนับเป็นไอคอนอย่างหนึ่งของทางบริษัทสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ถัดมาในวันที่ 24 มีนาคม 2001 Apple ก็ได้เปิดตัว Mac OS X ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง NeXT OPENSTEP และ BSD Unix ส่งผลให้ Mac OS X มีความเสถียรสูง และในงานวันเปิดตัวนั้น Steve Jobs ได้ชึ้นเวทีสั่งลา Mac OS 9 ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการต้อนรับยุคใหม่อันรุ่งโรจน์ของเครื่อง Mac และในอีกไม่กี่เดือนถัดมา Apple Retail Store แห่งแรกก็ได้ฤกษ์เปิดทำการในรัฐเวอร์จิเนียและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งในปัจจุบันก็ได้หลายมาเป็นมาตรฐานของร้านค้าปลีกไป
เข้าสู่ยุคอุปกรณ์พกพา
23 ตุลาคม 2001 iPod เครื่องแรกได้รับการเปิดตัวซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นหนึ่งในสินค้าจาก Apple ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยยอดขาย 100 ล้านเครื่องภายในหกปีแรกและได้กลายมาเป็นมาตรฐานของเครื่องเล่น MP3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเสียงตอบรับที่ไม่ค่อยดีนัก และต่อมาในปี 2003 iTunes Store ก็เปิดทำการและนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้บริโภคสามารถซื้อเพลงได้ในราคา 1 เหรียญสหรัฐ และปัจจุบันก็ยังคงเป็นต้นแบบของร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จมากทีสุดด้วยยอดจำหน่ายแซงหน้าร้านค้าปลีกทั่วไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
ถัดมาในช่วงปี 2005 ถึง 2006 Apple ก็ได้เริ่มเข้าสู่ช่วงผลัดใบไปใช้ซีพียูจาก Intel ซึ่ง Jobs ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยตัวเองด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งมีผลพลอยได้คือสามารถทำให้ iMac สามารถรัน Windows และ Apple ได้สร้าง Boot Camp มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ประกอบทำการตลาดอย่างลงตัวก็มีส่วนทำให้คนที่ใช้งาน Windows เป็นทุนเดิมอยู่ก่อนสามารถหันมาลองใช้ Mac ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ยุคของ Apple Inc. กับการเติบโตของอุปกรณ์พกพา
ในปี 2007 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นกับ Apple หลายอย่างด้วยกัน เริ่มจากการประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Apple Inc. ซึ่งเป็นเหมือนกับสัญญาณบอกให้รู้ว่าทางบริษัทจะเน้นไปที่การพัฒนาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์พกพามากขึ้น ไม่ใช่เน้นไปที่คอมพิวเตอร์อย่างเดียวอีกต่อไป และในงานแถลงข่าวเดียวกันนี้ก็ได้เปิดตัว iPhone รุ่นแรกซึ่งต่อมาก็ได้กลายมาเป็นต้นแบบของสมาร์ทโฟนรุ่นหลัง และ Apple TV ที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยได้รับการกล่าวขานจาก Jobs เองว่าเป็นเพียง "งานอดิเรก" (hobby) ที่ทางบริษัทยังไม่เอาจริง?
ในปีถัดมา iPhone 3G ก็ถูกเปิดตัวพร้อมกับ App Store เพื่อเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับมือถือให้สามารถทำอะไรได้หลายอย่างกว่าที่เคยคาดได้ และภายในระยะเวลาเพียงเดือนเดียว App Store ก็สามารถทำเงินให้กับบริษัทได้มากถึง 30 ล้านเหรียญ และภายในสิ้นปี 2008 Apple ก็ได้กลายเป็นผู้ผลิตมือถือรายใหญ่เป็นอันดับสามของโลก
iPad กับสงครามแท็บเล็ตที่ (อาจ) จบเร็วเหลือเกิน
ปัจจุบันถ้าจะกล่าวว่า iPhone จะเป็นเหมือนกับมาตรฐานของสมาร์ทโฟน เราก็คงสามารถกล่าวได้ว่า iPad เป็นเหมือนกับผู้เบิกทางให้กับการเกิดใหม่ของแท็บเล็ต เพราะจะว่าไป iPad ไม่ใช่แท็บเล็ตตัวแรกของโลกเนื่องจากก่อนหน้านี้ก็ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นมาแล้ว อย่างเช่น Newton ของ Apple เองที่ Jobs ยกเลิกโครงการไปเมื่อปี 1998 แต่แท็บเล็ตที่ออกมาก่อนหน้า iPad นั้นต่างประสบปัญหาเดียวกันคือ ทำงานช้า ตอบสนองไม่ทันใจ เพราะยังคงใช้ระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องเดสก์ท้อป
รวมทั้งราคาที่แพงระยับ ปัญหาทั้งหมดดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างสิ้นเชิงด้วย iPad เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะสามารถทำยอดขายได้อย่างถล่มทลาย และส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเลียนแบบนั้นต่างพากันกลับไปหากระบวนยุทธ์ใหม่ หรือม้วนเสื่อกลับบ้านไปเลยอย่าง Touchpad ของ HP นอกจากนั้นคุณสมบัติบางประการของ iPad ยังส่งผลถึงการออกแบบสินค้าชิ้นอื่นของบริษัทด้วย เช่น OS X Lion เป็นต้น
เส้นกราฟที่แสดงมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของ Apple เมื่อคราวที่ Steve Jobs ดำรงตำแหน่งซีอีโอ
Tim Cook กับภารกิจปรุงแต่ง Apple อันหนักอึ้ง
การต่อไม้ผลัดให้กับ Cook ในครั้งนี้นับได้ว่า Jobs เลือกช่วงเวลาได้เหมาะสมเป็นอย่างมาก เพราะในคงไม่มีช่วงเวลาไหนอีกแล้วที่ Apple จะรุ่งโรจน์เท่านี้มาก่อนเมื่อดูจากมูลค่าของบริษัทและยอดขายสินค้าที่ยังคงทำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งตอนนี้ที่ข่าวเกี่ยวกับ iPhone 5 และ iPad 3 มีมาให้เห็นไว้เว้นแต่ละวัน ก็ยิ่งเป็นเหมือนกับแรงใจให้ซีอีโอคนใหม่สานต่องานที่คนเก่ามอบหมายให้ได้อย่างดีโดยที่ไม่ต้องถึงกับลงทุนลงแรงอะไรใหม่ๆ มากนัก เหมือนกับลูกหลานที่สานต่อกิจการของครอบครัวที่คงไม่มีพ่อแม่คนไหนมาให้ลูกดูแลกิจการต่อในช่วงที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต
Tim Cook (ซ้าย) และ Steve Jobs (ขวา)
แต่ Tim Cook คือใครกัน? แล้วเขาคนนี้จะสามารถมาสานต่อเจตนารณ์ของ Apple ได้หรือไม่ ตามประวัติแล้ว Tim Cook เกิดเมื่อปี 1960 ที่ Robertsdale, รัฐอะลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายของคนงานท่าเรือและแม่บ้านธรรมดาคู่หนึ่ง Cook จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) จากมหาวิทยาลัย Auburn ในปี 1982 ก่อนที่จะจบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจที่ Fuqua School of Business แห่งมหาวิทยาลัย Duke ในปี 1988
Tim Cook (ซ้าย) และ Steve Jobs (ขวา)
อีก 10 ปีถัดมาในปี 1998 Cook เริ่มต้นเข้าทำงานที Apple หลังจากลาออกมาจากตำแหน่งรองประธานฝ่าย Corporate Material จาก Compaq ที่ซึ่งเขาเคยรับผิดชอบด้านการจัดหาและจัดการสินค้าคงคลังทั้งหลาย และนอกจากนั้นเขายังเคยร่วมงานกับ IBM เป็นระยะเวลาถึง 12 ปีด้วย อีกทั้งตอนนี้นอกจากจะทำงานให้กับ Apple เขายังมีตำแหน่งอยู่ในบอร์ดผู้บริหารของ Nike ประสบการณ์มากมายขนาดนี้ไม่ต้องจบปริญญาเอกก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าในด้านการบริหารงานแล้ว พ่อครัวคนนี้ย่อมไม่เป็นสองรองใครแน่นอน อีกทั้งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Cook สวมรอยซีอีโอเพราะเขาเคยทำหน้าที่แทน Jobs มาแล้วถึงสามครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อปี 2004 ตอนที่ Jobs ลาสองเดือนเพื่อเข้ารับการรักษามะเร็งตับอ่อน ครั้งถัดมาเมื่อปี 2009 เมื่อตอนที่ซีอีโอคนเดิมเข้ารับการถ่ายเปลี่ยนตับ และครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาหลังจากที่ Jobs ได้รับคำอนุมัติจากบอร์ดของบริษัทให้ลาพักชั่วคราวเพื่อรักษาอาการป่วย
ทว่า สิ่งที่บรรดานักลงทุนและผู้สังเกตุการณ์มีความเป็นกังวลคือบุคลิกส่วนตัวของ Cook เองที่ค่อนข้างเงียบ ใจเย็น และเก็บเนื้อเก็บตัว ซึ่งตรงกันข้ามกับ Jobs ที่พกพาพรสวรรค์ด้านการนำเสนอกับการขายมาอย่างเต็มเปี่ยม และที่สำคัญยิ่งกว่าคือวิสัยทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ที่ยังต้องรอการพิสูจน์กันในระยะยาว แต่อย่างน้อยๆ ในด้านการทำงานให้กับ Apple แล้ว ทั้ง Cook และ Jobs ต่างก็ได้รับการบอกเล่าเก้าสิบว่าเป็นพวก "บ้้างาน" พอกัน อย่างการตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อเช็คและส่งอีเมล รวมทั้งการประชุมคืนวันอาทิตย์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในสัปดาห์ถัดไปนั้นเป็นเรื่องปกติที่เห็นกันบ่อยครั้ง รวมทั้งแน่นอนว่าไม่ใช่ Cook จะต้องทำงานเพียงคนเดียว เพราะยังมีบรรดาเทพภายในบริษัทอีกมากคอยให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งตัว Steve Jobs เองก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงอยู่ในบอร์ดผู้บริหารที่ Apple คอยแนะความคิดเห็นอยู่ห่างๆ
กล่าวได้ว่า Steve Jobs ได้วางรากฐาน Apple มาอย่างแน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ชื่อเสียง วัฒนธรรมองค์กร และคุณภาพของสินค้าที่คงไม่ล่มสลายไปในชั่วระยะเวลาเพียงข้ามคืน ภายในปีนี้คาดว่าเราคงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ Apple มากนัก เพราะทุกอย่างได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดี ทว่านับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นปี ก็ถึงคราวพ่อครัวคนนี้ต้องแสดงฝีมือการปรุงแต่ง Apple แล้วล่ะครับว่าจะเข้าขั้นตำนานอย่างที่ Jobs เคยทำเอาไว้ได้หรือไม่
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: The Next Web, The New York Times, GigaOM, Wikipedia