พรีวิวกล้องโอลิมปัส OM-D E-M1 ผสานสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อภาพถ่ายที่ดีที่สุด
พรีวิวกล้องโอลิมปัส OM-D E-M1 ผสานสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อภาพถ่ายที่ดีที่สุด
ถือได้ว่า OM-D E-M1 เป็นกล้องรุ่นที่ 2 ในตระกูล OM-D ตัวเครื่องของ OM-D E-M1 ทำจากแม็กนีเซียมอัลลอย และแม้ว่าจะมาในทรงโบราณ แต่ก็สามารถกันน้ำ กันฝุ่น กันความเย็นได้อย่างที่รุ่นท็อปควรจะเป็น รวมถึงมีปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าให้จำนวนมาก
Olympus OM-D E-M1 นั้นถือได้ว่าเป็นกล้อง Mirrorless รุ่นใหม่ล่าสุดของ Olympus ที่มาพร้อมนวัตกรรมเซ็นเซอร์ Live MOS ใหม่ล่าสุด ที่มี On-chip Phase Detection AF และ TruePic VII Image Processor ใหม่ล่าสุดเท่าที่ Olympus เคยมีมา
ดังนั้นวันนี้ทางทีมงาน Sanook! Hitech จะทำการพีวิวเบาๆ OM-D E-M1 กล้องซึ่งเป็นเรือธงรุ่นสูงสุดของ Olympus กันดู ว่าด้วยราคาที่เปิดออกมา 1,399 เหรียญ
และคำร่ำลือว่า OM-D E-M1 มาพร้อมกับคุณสมบัติเทพนั้นจะจริงแค่ไหน? และเพื่อเป็นข้อมูลดีๆ สำหรับใครที่กำลังมองหากล้องใหม่ๆ ไว้ใช้งานสักตัว...
สเปก Olympus OM-D E-M1
- ใช้เซนเซอร์ m4/3 ความละเอียด 16.3 เมกะพิกเซล พร้อมชิปสำหรับโฟกัสแบบ phase detection ในตัว
- จำนวนจุดโฟกัสทั้งหมด 81 จุด
- ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดที่ 1/8000 วินาที ปรับ ISO ได้ตั้งแต่ 100-25600
- ชิปประมวลผลภาพรุ่นใหม่ TruePIC VII
- ระบบกันสั่นในตัวแบบ 5 แกน
- จอภาพด้านหลังขนาด 3" ความละเอียด 1,037,000 พิกเซล รองรับการสัมผัส ปรับองศาหน้าจอได้
- ช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็ม กำลังขยาย 1.3 เท่า ความละเอียด 2,360,000 พิกเซล
- รองรับ Wi-Fi
- น้ำหนักรวมแบตเตอรี่แล้วอยู่ที่ 497 กรัม (ไม่รวมเลนส์)
อย่างที่บอกไปแล้วว่ากล้อง OM-D E-M1 เป็นกล้องรุ่นที่ 2 ในตระกูลต่อจาก Olympus OM-D E-M5 เพราะฉะนั้นย่อมเหนือกว่ารุ่นพี่อย่างแน่นอน โดย E-M1 นั้นมาพร้อมเซนเซอร์ m4/3 ความละเอียด 16.3 เมกะพิกเซล
และที่สำคัญนั้น OM-D E-M1 ยังมาพร้อมระบบประมวลผลภาพ TruePic Vll Image Processor ใหม่ล่าสุด
นอกจากนั้น OM-D E-M1 ยังชูจุดเด่นของระบบโฟกัสแบบ Dual Fast AF ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของระบบ Contrast Detection AF ที่ครอบคลุมระบบโฟกัสทั้งหมด 81 จุดกับ
ระบบ On-chip Phase Detection AF ครอบคลุมระบบโฟกัส 37 จุด โดยระบบ Dual Fast AF จะสลับระบบโฟกัสให้แบบอัตโนมัติตามการใช้งาน
ในส่วนบอดี้ของ OM-D E-M1 นั้นทำมาจากแม็กนีเซียมอัลลอย ดังนั้นภาพโดยรวมนับได้ว่าดีมาก แข็งแรง ทนทาน ทำให้รู้สึกได้ว่า OM-D E-M1 นั้นมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ที่เน้นความคลาสสิคของตัวบอดี้กล้องมากกว่ากล้องรุ่นอื่นๆ ในตระกูลเดียวกัน และที่สำคัญนั้น ยังชูจุดเด่นของการกันละอองน้ำ กันฝุ่น และทนต่ออุณหภูมิเย็นถึง -10 องศาเซลเซียสเชียว
ตัวกริปที่มีขนาดใหญ่ ส่วนนี้นั้นตอนจับทำให้รู้สึกได้ว่ากระชับมือ
อีกมุมหลังถอดเลนต์ออกเหลือแค่นี้เอง
เลนส์ที่เห็นด้านล่างนั้น เป็นตัวเปิดตัวมาพร้อมกับ E-M1 คือเลนส์ M.Zuiko Digital ED 12-40mm f/2.8 PRO เรียกได้ว่าเหมาะสมจะเข้าคู่กันเป็นอย่างยิ่ง และเลนส์ตัวนี้ยังมีซีลยางกันน้ำ กันฝุ่นและอุณหภูมิเช่นเดียวกับ E-M1
อีกหนึ่งจุดเด่นของ OM-D E-M1 นั้นคือปุ่มควบคุมกล้องด้านหลังเป็นแบบปุ่มกด 4 ทิศทาง ที่ใช้ง่าย ฟังก์ชั่นต่างๆ เพียบทำให้สามารถควบคุมการทำงานต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้ง่าย ทุกปุ่มสามารถเรียกไช้งานได้เพียงมือข้างเดียวตรงด้านขวาของตัวกล้องนั่นเอง
บริเวณด้านบนตัวกล้องด้านขวามีแป้นหมุนสำหรับเลือกโหมดการใช้งานต่างๆ และที่สะดุดตาสุดคงเป็นปุ่ม Fn2 และ Fn1 ที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงกัน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ปุ่มควบคุม Drive และ HDR นั้นถูกยกมาวางไว้ด้านบนฝั่งซ้ายมือ ในส่วนนี้นั้นสำหรับบางคนรวมทั้งตัวผมด้วยคงถูกใจเพราะ ทำให้การปรับใช้งานโหมดการถ่ายภาพตามปกติ กับการถ่ายภาพในแบบ HDR ทำได้สะดวก สามารถสลับไปมาได้ทันทีจากตำแหน่งนี้
ช่องมองภาพ EVF อัจฉริยะ ที่มาพร้อมระบบ Built-in EVF ให้ประสิทธิภาพเทียบได้เท่ากับช่องมองภาพของกล้อง Full-Frame SLR ครับ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของมุมของภาพที่ขยายใหญ่เห็นได้ชัดมากขึ้น ควบคุมความเป็นธรรมชาติให้รู้สึกเหมือนมองภาพผ่าน Optical Viewfinder (OVF)
ตัวเครื่องด้านซ้ายของตัวเครื่อง OM-D E-M1 เป็นตำแหน่งของช่องเสียบ เมมโมรี่การ์ด
Micro SD card
ด้านขวานั้นเป็นส่วนของพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อ OM-D E-M1 ทีมาครบครับ ไม่ว่าจะเป็นช่องสำหรับเสียบ USB A/V OUTม, ช่อง HDMI และช่องสำหรับเชื่อมต่อ MIC แต่น่าเสียดายไม่มีช่องสำหรับเสียบไมโครโฟน
ส่วนด้านล่างก็เป็นช่องใส่แบตเตอรี่
ฮอทชูสำหรับต่อแฟลชภายนอก
ในส่วนต่อมานั้นเรามาลองเล่นจอ LCD กันสักหน่อย ในส่วนของจอ LCD นั้นมันถูกออกแบบมาให้พับได้ เพื่อรองรับการใช้งานการถ่ายภาพมุมแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมต่ำหรือมุมสูง
หน้าจอภาพมาพร้อมระบบทัชสกรีน จอ LCD ของ Olympus OM-D E-M1 นั้นเป็นจอแบบสัมผัสช่วยให้การใช้งาน สะดวก และรวดเร็ว เท่าที่ทางทีมงาน Sanook! Hitech ได้ลองเล่นนั้นเรียกได้ว่าการใช้งานนั้นลื่นไหลดีอาจจะด้วย
ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ความละเอียดต่อพิกเซลมากขึ้นนั่นเอง!!
ระบบ 5 แกนแบบใหม่ใน Olympus OM-D E-M1 ซึ่งถือเป็นระบบกันสั่นใหม่ล่าสุดแบบ 5 แกนครั้งแรกในโลกที่จะช่วยให้ภาพยังคงความสวยงาม คมชัด ไม่เบลอ ไม่สั่น ไม่ว่าจะถ่ายภาพในอิริยาบถไหนก็ตาม
ระบบกันน้ำ กันฝุ่น ส่วนนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดขายเลยก็ว่าได้ เพราะ OM-D E-M1 ถูกออกแบบให้เป็นกล้องที่สามารถป้องกันละอองน้ำและฝุ่นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังทนสภาพอากาศในอุณหภูมิต่ำสุดถึง -10 องศาเซลเซียส จึงทำให้คุณสามารถพกพา E-M1 เครื่องนี้ไปไหนได้ทุกที่
นอกจากนี้นั้น OM-D E-M1 ยังมาพร้อมคุณสมบัติ สั่งถ่ายภาพ และแบ่งปันภาพถ่ายคุณภาพระดับ SLR ได้ง่ายด้วย Built in WiFi โดยเราสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Smartphone ของเราและทำการสั่งควบคุมกล้องผ่าน Smartphone ได้อย่างสบายๆ เลย รวมถึงสามารถใช้สัญญาณ GPS จาก Smartphone บันทึกลงในรูปภาพได้อีกด้วย
สุดท้ายก็คงเป็นส่วนของภาพถ่ายจากกล้อง OM-D E-M1 กันหน่อยดีกว่าครับ!! (ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นการทดลองเล่นกล้องจริงๆ จึงไม่มีการปรับแต่งใดๆ)
บทสรุปการใช้งาน
จริงๆ แล้วกล้อง Mirrorless ภายใต้แบรนด์อื่นๆ นั้นมีออกมาให้เลือกมากมาย เรียกได้ว่ามีหลายรุ่นให้เลือกครับ แต่ถ้าหากใครต้องการกล้อง Mirrorless ไว้ใช้งานสักตัวแล้ว ผมขอแนะนำรุ่นนี้ครับเพราะเด่นในส่วนของ เรื่องฟีเจอร์การใช้งานจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดเล่น หรือมืออาชีพที่กำลังจะลองเล่นกล้อง Mirrorless ก็ตาม เรียกได้ว่าครบเครื่องที่เดียวครับสำหรับกล้อง Olympus OM-D E-M1
อีกทั้งเรื่องของตัวเครื่องที่ถูกออกแบบมาในสไตล์ Classic ทำให้ Olympus OM-D E-M1 ไม่น้อยหน้ารุ่นไหนๆ อย่างแน่นอนครับ อย่างไรก็ตามถ้าความปราถนาในการถ่ายภาพของคุณอยู่ในระดับกึ่งมืออาชีพอย่างน้อย นี่อาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดตัวใหม่ของคุณ
จุดเด่นของ OM-D E-M1
- ค่อนข้างกระทัดรัด
- สามารถป้องกันละอองน้ำและฝุ่นได้
- ใช้งานง่าย แต่ไฟล์สวยระดับมืออาชีพ
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
- ไม่มีไมโครโฟน
- ราคาออกตัวแรงไปนิด (ราคาเปิดตัวค่อนข้างสูง)
อัลบั้มภาพ 23 ภาพ