คันปาก อยากพูดถึง Apple Watch ซักหน่อย

คันปาก อยากพูดถึง Apple Watch ซักหน่อย

คันปาก อยากพูดถึง Apple Watch ซักหน่อย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     เมื่อคืนวันที่ 9 มีนาคม (ตามเวลาประเทศไทย) Apple เพิ่งเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ Apple Watch ซักที หลังจากเอามาเปิดตัวยั่วไปตั้งแต่ปลายปีก่อนแล้ว หลายๆ คน เฝ้าดู Keynote ของทาง Apple อย่างใจจดใจจ่อ(ตามระเบียบ)

     แต่สำหรับผมแล้ว หลังจากที Steve Jobs ล่วงลับไปแล้ว ผมรู้สึกว่าสไตล์ของ Keynote ของ Apple มันขาดสีสัน และไม่ได้น่าติดตามซักเท่าไหร่ เลยเลือกที่จะนอนเอาแรง แล้วค่อยมาอ่านข่าวสรุปกันตอนเช้าดีกว่า และหากพลาดอะไรตรงไหนไปก็ยังหาคลิปวิดีโอมาดูได้


      แน่นอนว่างาน Keynote ครั้งนี้ก็เช่นกัน และผมก็รู้สึกว่าคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ได้ถ่างตารอ เพราะ Apple Watch เมื่อคืน Apple ก็เน้นไปที่การพูดถึงรายละเอียดที่ไม่ได้พูดถึงมากในงานคราวก่อน เช่น จำนวนรุ่น ราคา วันที่วางจำหน่าย อะไรแบบนี้มากกว่า

      เอาเข้าจริงๆ นะ สื่อนอกทั้งหลายก็ไม่ได้ “ว้าว” อะไรกับ Apple Watch มากนัก แต่ทั้งหมดกลับมองว่า New MacBook ที่เปิดตัวเมื่อวานมันน่าสนใจกว่าเยอะ

      ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับสื่อเหล่านี้นะ เพราะมันถือว่าแปลกใหม่สำหรับ MacBook แต่หากพิจารณาเรื่องความบางและเรื่องน้ำหนัก ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกใหม่นะ เพราะพวกโน้ตบุ๊กที่ใช้ Intel Core M นี่ เราได้เห็นกันมาหลายรุ่นแล้ว และรุ่นว้าวๆ

      สำหรับพวกที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ก็มีให้เห็นกันเช่น Lenovo Yoga 3 Pro หรือ Dell XPS 13 (2015) เป็นต้น (แต่เรื่องน้ำหนักและความบางยังไม่อาจเทียบเท่า New MacBook หรอกนะ)



      ในขณะที่แนวคิดของ Steve Jobs คือ การทำให้มีรุ่นให้เลือกน้อยๆ เพื่อลดความสับสนของผู้ใช้งาน แต่เมื่อ Apple วาง Apple Watch เป็นสินค้าแฟชั่น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีให้เลือกหลากหลายมาก

      ซึ่งแม้จะมีการแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Watch สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป, Watch Sport สำหรับผู้นิยมการออกกำลังกาย และ Watch Edition สำหรับผู้มีอันจะกิน (เพราะ Watch Edition ตัวเรือนทำจากทอง 18K สนนราคาเริ่มต้น $10,000 หรือสามแสนกว่าบาท!!) และแต่ละรุ่นก็มีแยกย่อยออกไปอีก รวมๆ แล้วมีให้เลือก 38 แบบเลยทีเดียว

      Apple Watch นี่มีให้เลือกหลากหลายราคามาก ตั้งแต่ระดับหมื่นต้นๆ พอจะหาซื้อเป็นเจ้าของได้ อย่าง Watch Sport ที่ราคาเริ่มต้น $349

      โดยตัวเรือนเป็นอลูมิเนียมชุบแข็งด้วยวิธี Anodize และมีกระจกกันรอยแบบ Ion-X ซึ่งดูๆ ไปแล้ว ก็น่าจะทนทานแค่ในระดับหนึ่งล่ะ … ในฐานะที่เป็นคนใช้พวก Smartwatch ที่ไม่ได้ใช้กระจกแซฟไฟร์ แต่เป็นแค่พวก Gorilla Glass ธรรมดา ก็ต้องบอกว่า หากใช้ระวังๆ หน่อย ก็พอไหวครับ


      Apple Watch รุ่นกลางๆ ที่ตัวเรือนเป็นสแตนเลสสตีลพร้อมกระจกแซฟไฟร์นี่ สนนราคาเริ่มต้นที่ $549 ไปจนถึง $1099 กันเลยทีเดียว เรียกว่าราคาเริ่มตั้งแต่สมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ไปยัน MacBook ระดับ Entry level เลยล่ะ

      แต่ดีไซน์น่าจะเหมาะกับพวกผู้ใช้งานที่เป็นคนวัยทำงาน หรือพวกที่ต้องการดูภูมิฐานนิดนึง ดีไซน์แบบนี้จะเหมาะกับชุดออกงานโดยมากซะมากกว่า

      และปิดท้ายด้วย Watch Edition ที่สนนราคาเริ่มต้นตั้งแต่ $10000 (สามแสนเศษ) ไปจนถึง $17000 (ครึ่งล้านกว่า) อันนี้คงเหมาะจะเป็นของเล่นเศรษฐีจริงๆ ครับ

      แต่ผมมองมันในฐานะเครื่องประดับบารมี โชว์รวย โชว์ทันสมัย มากกว่า เพราะผมมองว่าพวกที่เล่นนาฬิกาจริงๆ ก็น่าจะยังคงเน้นไปที่นาฬิกาที่ซื้อแล้วยังคงมูลค่าอยู่ เช่นพวกโรเล็กซ์ หรือ ปาเต็ก หรืออะไรแบบนั้นอ่ะ ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่ใกล้เคียงกัน จนแพงบรรลัย

      มองในแง่การใช้งาน Apple Watch นั้นยังต้องพิสูจน์เรื่องความสามารถอยู่ แต่ในแง่ของฟังก์ชั่นการทำงาน ก็ทำได้เหมือนๆ กับพวก Smartwatch หลายๆ ยี่ห้อที่มีอยู่ในตอนนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแจ้งเตือนต่างๆ, การทำหน้าที่เป็น Handsfree สำหรับคุยโทรศัพท์, การเป็น Fitness tracker

      การติดตั้ง App เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความสามารถ และด้วยสไตล์ของ Apple ก็จะมีการคิดค้น Interface ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ Apple น่าจะได้เปรียบ เพราะได้เห็นคู่แข่งลองผิดลองถูกมาหลายรายแล้ว การที่จะทำอะไรที่ดีที่สุด สะดวกสุด ก็น่าจะพอมีไอเดียอยู่บ้างล่ะ

      นอกจากนี้ Apple ก็ยังสร้างความแตกต่างด้วยการมี NFC ไว้ให้ใช้ทำ Mobile payment ผ่าน Apple Pay และหน้าจอสัมผัสก็เป็นแบบ Force-sensitive ที่การออกแรงกดที่แตกต่างกันออกไป จะเป็นการสั่งงานที่แตกต่างกัน ตอบสนองแตกต่างกันไปด้วย

      และจากการที่ออกแบบโดย Apple ทั้งตัวสมาร์ทโฟนเอง และ Apple Watch เอง ก็เลยน่าจะมั่นใจได้ว่าน่าจะมีศักยภาพเต็มที่สุด และเพราะเป็นสินค้าของ Apple พวกนักพัฒนาก็ย่อมจะคาดการณ์ว่าจะมีคนซื้อเยอะ ช่องทางการทำเงินก็น่าจะมี ก็น่าจะมีการพัฒนา App ต่างๆ มารองรับเพียบ

      อย่างไรก็ดี แม้จะเป็น Apple ก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตีโจทย์เรื่องแบตเตอรี่ให้แตกได้ครับ เพราะจากข้อมูลที่ได้มา Apple Watch นั้นใช้งานในแบบปกติ แบตเตอรี่จะอยู่ได้ราวๆ 18 ชั่วโมง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ น่าจะผ่านรอดชีวิตประจำวันไปได้ แล้วกลับถึงบ้านก่อนนอนก็ชาร์จแบตเตอรี่ซะหน่อย 2 ชั่วโมงครึ่งแบตเตอรี่ก็เต็มแล้ว พรุ่งนี้เช้าลุยแต่ แต่หากใช้งานต่อเนื่องละก็ ก็จะอยู่ได้ราวๆ สมาร์ทโฟนเครื่องนึง คืออย่างเก่งก็ 9 ชั่วโมงครับ

บทสรุป

      Apple Watch ตราบใดที่ยังไม่ได้ลองใช้งานจริง ก็ตอบยากว่ามันดีไม่ดียังไง แต่เท่าที่ดูข้อมูลจากทาง Apple เอง และจากพรีวิว Hands-on ของสื่อนอกที่ได้ไปสัมผัสมาแล้ว ประกอบกับเสียงตอบรับจากสาวก Apple หลายคนที่ผมรู้จัก ก็รู้สึกได้ว่า Apple Watch นี่ยังไม่ใช่อะไรที่ “ว้าว” สำหรับผู้ใช้งานมากนัก

      แต่ก็น่าจะยังขายได้ตามสไตล์ Apple นั่นแหละ และก็คงจะทำกำไรต่อเครื่องได้ไม่น้อย (ผมรอ iFixit มาแกะดูจริงๆ ว่า ต้นทุนของ Apple Watch จริงๆ น่าจะอยู่ที่ประมาณซักเท่าไหร่)

สนับสนุนเนื้อหา:  สามารถรับข่าวสารเพิ่มเติมได้อีกทางที่ www.facebook.com/kafaakBlog

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook