ไปญี่ปุ่น อยากใช้มือถือ หรืออินเทอร์เน็ต ต้องทำอย่างไร
ไปญี่ปุ่น อยากใช้มือถือ หรืออินเทอร์เน็ต ต้องทำอย่างไร เปิดโรมมิ่ง (Roaming) ดีหรือไม่ ที่นี่มีคำตอบ
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้ก็เข้าฤดูร้อนกันแล้วนะครับ และท่านผู้อ่านหลายๆ ท่านก็คงกำลังวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวต่างแดนเพื่อหนีอากาศร้อนๆ ในบ้านเรา ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในต่างแดนที่กำลังเป็นที่สนใจมากเป็นพิเศษ ในขณะนี้ ที่หนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นประเทศญี่ปุ่นเพราะช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ และช่วงเทศกาลชมดอกไม้ หรือที่เรียกว่า เทศกาลชมดอกซากุระบานนั่นเอง
โดยปัจจุบันนี้ใครที่ไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ต้องทำวีซ่าให้ยุ่งยากแล้ว เนื่องทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเว้นวีซ่าให้กับ คนไทยที่จะไปท่องเที่ยวในระยะสั้นไม่เกิน 15 วัน
แต่ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังกังวลใจอยู่ นั่นก็คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ, สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ในประเทศญี่ปุ่นนั่น เอง ซึ่งผู้อ่านหลายๆ ท่านก็คงคิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไร
อยากจะแชร์รูปภาพ, แชทกับเพื่อนๆ หรืออยากจะดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านมือถือ สมาร์ทโฟนแต่ก็กังวลว่าจะเปิดการใช้งานโรมมิ่ง (Roaming) จากประเทศไทยไปเลยดีหรือไม่ และราคาค่าใช้จ่ายจะสูงขนาดไหน หรือควรไปซื้อซิมการ์ดที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้งานดี เพราะฉะนั้นวันนี้ทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ จะมาแนะนำข้อมูลดีๆ ให้ผู้อ่านที่กำลังจะไปท่องเที่ยวที่ประเทศที่ญี่ปุ่น และอยากใช้งานมือถือ หรืออินเทอร์เน็ต ว่าควรต้องทำอย่างไร วิธีไหนจึงจะเหมาะสม และคุ้มค่ามากที่สุด
โดยปกติแล้ว การใช้งานมือถือ หรืออินเทอร์เน็ตในประเทศญี่ปุ่น จะมีวิธีที่นิยมกันอยู่ 3 รูปแบบได้แก่การเปิดโรมมิ่ง (Roaming), การเลือกซื้อซิมการ์ดที่ประเทศญี่ปุ่นมาใส่เครื่องใช้งาน และการเช่าอุปกรณ์ Pocket Wifi พร้อมซิมการ์ดในตัว ซึ่งแต่ละวิธี จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1 : การเปิดโรมมิ่ง (Roaming) กับเครือข่ายในประเทศไทย
การเปิดโรมมิ่ง (Roaming) ผ่านระบบเครือข่ายในบ้านเราอย่าง AIS, dtac และ TrueMove H ซึ่งทั้ง 3 ค่าย นั้นจะมีแพ็กเกจที่น่าสนใจไม่แพ้กันเราลองไปชมแพ็กเกจของทั้ง 3 ค่ายกันเลยครับ
แพ็กเกจโรมมิ่ง (Roaming) ของ AIS
สำหรับแพ็คเก็จโรมมิ่ง (Roaming) ของ AIS นั้นก็มีให้เลือกใช้งานมากมายหลายแพ็กเกจ ไม่ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านระบบเครือข่ายแบบไม่จำกัดปริมาณข้อมูลเพียง อย่างเดียว หรือเฉพาะโทรออก-รับสาย และ SMS โดยจะมีให้เลือกใช้งานแบบระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึง 14 วัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อวัน เริ่มต้นที่ 280 บาท และสามารถใช้งานได้ทั้งซิมการ์ดแบบเติมเงิน และแบบรายเดือน
ข้อมูลเพิ่มเติม : AIS Roaming
***คำแนะนำ*** : ควรศึกษาแพ็กเกจโรมมิ่ง (Roaming) และเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ให้ดี ก่อนตัดสินใจสมัครใช้บริการ***
แพ็กเกจโรมมิ่ง (Roaming) ของ dtac
ส่วน แพ็กเก็จโรมมิ่ง (Roaming) ของ dtac นั้นก็มีให้เลือกใช้งานอยู่หลายแพ็กเกจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านระบบเครือข่ายแบบไม่จำกัดปริมาณ ข้อมูล หรือคิดตามปริมาณการใช้งาน โดยจะมีให้เลือกใช้งานแบบระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึง 7 วัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อวัน เริ่มต้นที่ 280 บาท แต่สามารถใช้งานได้ทั้งซิมการ์ดแบบรายเดือนเพียงอย่างเดียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : dtac Roaming
***คำแนะนำ : ควรศึกษาแพ็กเกจโรมมิ่ง (Roaming) และเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ให้ดี ก่อนตัดสินใจสมัครใช้บริการ***
แพ็กเกจโรมมิ่ง (Roaming) ของ TrueMove H
และสุดท้ายสำหรับแพ็คเก็จโรมมิ่ง (Roaming) ของ Truemove H นั้นก็มีให้เลือกใช้หลากหลายไม่แพ้กัน ไม่ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G และ 3G แบบไม่จำกัดปริมาณข้อมูลเพียงอย่างเดียว หรือเฉพาะโทรออก-รับสาย โดยจะมีให้เลือกใช้งานแบบระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึง 7 วัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อวัน เริ่มต้นที่ 280บาท และสามารถใช้งานได้ทั้งซิมการ์ดแบบเติมเงิน และแบบรายเดือน
ข้อมูลเพิ่มเติม : TrueMove H Roaming
***คำแนะนำ : ควรศึกษาแพ็กเกจโรมมิ่ง (Roaming) และเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ให้ดี ก่อนตัดสินใจสมัครใช้บริการ***
วิธีที่ 2 : เลือกซื้อซิมการ์ดที่ประเทศญี่ปุ่นมาใช้งานบนสมาร์ทโฟน
โดย ส่วนใหญ่คนไทยเราจะใช้บริการจาก bmobile ซึ่งจะเป็นซิมการ์ดจากผู้ให้บริการเครือข่าย Docomo ในประเทศญี่ปุ่น และมีให้ใช้งานซิมการ์ดถึง 2 แบบ คือ แบบ PAYG SIM และแบบ VISITOR SIM
สำหรับแบบ PAYG SIM จะเป็นซิมการ์ดแบบลงทะเบียน โดยจะสามารถเลือกใช้งานได้ในระยะเวลา 7 วัน และ 14 วัน ซึ่ง PAYG SIM ในระยะเวลา 7 วัน จะสามารถใช้โทรออก-รับสาย และส่ง SMS ได้อีกด้วย
รวมไปถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G และ 3G ได้สูงสุด 3 GB โดยจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 9,980 เยน (ประมาณ2,700 บาท) ส่วนแบบ PAYG SIM ในระยะเวลา 14 วัน จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G และ 3G ได้สูงสุด 3 GB เพียงอย่างเดียว และมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 4,990 เยน (ประมาณ 1,350 บาท)
ส่วน แบบ VISITOR SIM ก็จะสะดวกสบายขึ้นมาอีกเล็กน้อย เนื่องไม่ต้องลงทะเบียนซิมการ์ดให้ยุ่งยาก ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ 2 แบบ นั่นก็คือ แบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตสุงสุด 1 GB โดยไม่กำหนดระยะเวลา และแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตในระยะเวลา 14 วัน
โดยสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G และ 3G แบบไม่จำกัดข้อมูล แต่จะถูกจำกัดความเร็วอินเทอร์เน็ตไว้ที่ 300 Kbps ซึ่ง VISITOR SIM ทั้ง 2 แบบ จะมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 3,686 เยน (ประมาณ 1,000 บาท) โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อผ่านทางเว็บไซต์ได้ที่นี่ : bmobile
***คำแนะนำ : ควรศึกษาแพ็กเกจ และเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ให้ดี ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ หรือสมัครใช้งาน***
วิธีที่ 3 : เช่าอุปกรณ์ Pocket WiFi พร้อมซิมการ์ดในตัว
โดยอุปกรณ์ Pocket WiFi นี้จะเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ไปกันเป็นกลุ่ม เพราะอุปกรณ์ Pocket WiFi จะสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตได้หลายเครื่องพร้อมกัน
ซึ่งส่วนมากผู้ใช้งานทั่วไปจะเลือกใช้บริการเช่า Pocket WiFi จากประเทศไทยไปใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งยังมีบริการจัดส่ง และรับคืนอุปกรณ์ให้ฟรี รวมไปถึงยังสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G และ 3G แบบไม่จำกัดข้อมูลอีกด้วย ซึ่งผู้ให้บริการเช่านั้นมีหลากหลายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ bs-mobile, jp-wifi, wifi-rental และ rentinternet
โดยจะมีโปรโมชั่นที่แตกต่างกันไป และมีราคาให้เช่าต่อวัน อยู่ที่ประมาณ 190 บาทขึ้นไป ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสั่งเช่าอุปกรณ์ Pocket WiFi พร้อมซิมการ์ดในตัวผ่านเว็บไซต์ได้เลยครับ
***คำแนะนำ : ควรศึกษาแพ็กเกจ และเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ ให้ดี ก่อนตัดสินใจเลือกเช่าอุปกรณ์***
เรามาสรุปกันเลยดีกว่าครับ สำหรับผู้อ่านที่คิดว่าไม่อยากยุ่งยากในการหาซื้อซิมการ์ดในต่างประเทศก็แนะนำให้เลือกใช้บริการโรมมิ่ง (Roaming) จากผู้ให้บริการเครือข่ายในบ้านเรา ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าวิธีอื่นๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละโปรโมชั่น และช่วงเวลาในการโรมมิ่งของสัญญาณก็อาจจะดูช้าสักนิด
แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ ส่วนการเลือกซื้อซิมการ์ดที่ประเทศญีปุ่น นั้นก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน โดยมีโปรโมชั่นให้เลือกใช้งานหลากหลาย และมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป แต่อาจจะต้องเลือกซื้อซิมการ์ดด้วยตัวเองผ่านอินเตอร์เน็ต และให้จัดส่งมาให้ที่ประเทศไทย หรือไปรับที่ประเทศญี่ปุ่นแทน
มาต่อกันที่ทางเลือกสุดท้ายที่ดูเหมือนจะคุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ใช้งานที่ไป กันเป็นกลุ่ม สำหรับทางเลือกในการเช่าอุปกรณ์ Pocket WiFi พร้อมซิมการ์ดในตัว ซึ่งสามารถหาเช่าอุปกรณ์ได้ที่ประเทศไทย พร้อมทั้งมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง
และการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ไม่จำกัดปริมาณข้อมูล หรือจำกัดความเร็วอินเทอร์เน็ตอีกด้วย อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม ผู้อ่านทุกท่านก็ควรศึกษาแพ็กเกจ และเงื่อนไขของการใช้งานต่างๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะตัดสินใจสมัครใช้บริการ มิเช่นนั้นค่าใช้จ่ายของท่านอาจจะบานปลายเกินคาดคิด
สุดท้ายนี้ก็หวังว่าข้อมูลข้างต้นคงจะมีประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังจะเดิน ทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นบ้างไม่มากก็น้อย และขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นด้วยนะครับ สวัสดีครับ