Full Review Apple Watch :: นาฬิกาฉลาด สำหรับคนรู้จักเลือก
นับมาตั้งแต่ช่วงปีก่อนจนถึงเดือนที่แล้ว มีข่าวลื่อมากมายหลายสำนักรายงานเหมือนๆกันว่า Apple กำลังผลิตนาฬิกาสำหรับ iPhone , iPad เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกสบายใจการใช้งานควบคู่กับ iPhone , iPad ของท่าน
เดือนก่อนหน้านี้มีการเปิดตัว Apple Watch ทำเอาหลายฝ่ายและ ต่างค่ายที่เป็นคู่แข่งของ Apple ต่างเห็นตาตรงกันว่า มันคุ้มค่าและเหมาะกับการใช้งานมากๆ ในทุกฟังชั่น ที่ Apple ใส่มาให้
วันนี้ผมจะมาเขียนรีวิวเป็นครั้งแรกที่มีภาพประกอบที่เยอะมาก และละเอียดที่สุดตั้งแต่เขียนมาครับ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จัก Apple Watch ครับ
ปฐมบท :: ในกล่อง และ รายละเอียดส่วนบอดี้ Apple Watch
Apple Watch ตอนนี้ (ณ ขณะที่เขียนบทความ 27/04/58) ยังคงจำหน่ายบางประเทศเท่านั้นยังไม่รวมประเทศไทย และ ประเทศอื่นๆ
โดยที่มีการแยกประเภทของกล่องออกเป็น 2 แบบคือแบบ ยาว(ตามภาพ) และแบบสั้นสี่เหลี่ยม (สำหรับฝั่งยุโรป) ดังนั้นของในกล่องทุกอย่างจึงเหมือนกัน และ ถ้าจำหน่ายในไทย จะเหมือนกับที่ผมเอามารีวิวทุกประการครับ
สำหรับเครื่อง Apple Watch นั้นผมนำมาจากประเทศญี่ปุ่นครับ ใช้งานในไทยได้ทุกอย่างครับ ไม่มีอะไรแตกต่างจากประเทศอื่นๆครับ
แกะกล่องออกมาครั้งแรกจะเจอกับซองบรรจุคู่มือและสายนาฬิกาแบบสั้นและคู่มือการ ใช้งานในกล่องเป็นภาษาตามประเทศที่จำหน่าย (ของไทยก็จะเป็นของไทย)
ส่วนสายนาฬิกานั้นสำหรับรุ่น Sports จะมีสายแบบสั้นกับยาวแถมมาทั้งสองสายในกล่องมาเลย (ส่วนรุ่น Apple Watch และ Watch Edition จะมีสายแยกมาในกล่องเป็นแบบสแตนเลสครับ) ดังนั้นชอบแบบสั้นแบบยาวเราเลือกเองได้เลย
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องที่ทาง Apple จัดมาให้นั้นประกอบด้วยสายชาร์ตแบบ NFC 1 เส้น และ ปลั้กสำหรับชาร์ตไฟบ้านแบบ 110-220w 1 ชิ้น บรรจุอยู่ในซีนพลาสติกของ Apple มาอย่างดี
ซึ่งสายชาร์ตของ Apple Watch นั้นจะเป็นแบบ NFC แบบที่บอกไปสักครู่ นั้นหมายถึงว่า ไม่ต้องทำการเสียบ หรือ ต่อเข้ากับ Apple Watch แต่วาง Apple Watch ลงไปบนที่ชาร์ตได้เลยครับ
วางลงไปก็จะเป็นแบบตามรูปเลยครับ เมื่อวางไปแล้ว และเสียบปลั้กจะมีการเตือนการชาร์ตแบต ระยะเวลาของการชาร์ตนั้นใช้เวลา 3-4 ช.ม. ต่อการชาร์ต 1 ครั้งเพื่อให้แบตเต็ม และใช้งานได้รวมๆ 1 วันเศษๆ (เวลาตอนที่เปิดกล่องครั้งแรกและใช้งานคือ 13.20 น. จนถึง ณ ตอนที่เขียนบทความคือเวลา 23.30 น. ของวันที่ 27/04/58 แบตจากแกะกล่องมีอยู่ 46% และ ลดลงจนถึงเวลาที่เขียนรวม 6% ถึงว่าประหยัดมาก)
ตัวของ Apple Watch ถูกบรรจุ มาในกล่องพลาสติกบุบกำมะหยี่ของในกล่องพลาสติกอีกทีพร้อมทั้งโฟมกันกระแทรก รอบๆนาฬิกา มั่นใจได้ว่าไม่มีการกระแทรกใดๆจากการขนส่ง พร้อมทั้งซีนบรรจุนาฬิกา สามารถลอกออกได้ทันทีครับ
ด้านหลังของนาฬิกา Apple Watch ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 4 แบบ ในทั้ง 4 แบบประกอบด้วย วัดการเต้นของตัวใจ และ การสั่น (สำหรับจับการวิ่ง) การชาร์ตไฟ หรือ การ Sync และ อันสุดท้ายคือจับการเคลื่อนไหวของนาฬิกา พร้อมทั้งระบุบรุ่นและขนาดของหน้าปัด Apple Watch รอบๆ NFC หลังเครื่อง
สายของ Apple Watch นั้นสามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆครับ ด้วยการกดกิ้บของตัวสายเพื่อปลดออก และ เสียบสายใหม่เข้าไป แต่สายนั้นไม่หลุด หรือ เลื่อนออกง่ายนะครับ เพราะมีกิ้บตัวนี้อยู่เลยปลดออกยากครับ โดยที่สายนั้นผมจะอธิบายตอนสรุปหลังจากจบ Review ครับ
ทอสอบโดยการใส่ที่ข้อมือตัวเอง (อิอิ) เอาละที่นี้ผมพร้อมแล้วครับ สำหรับการ Review ครับ
ปัจฉิมบท :: การเชื่อมต่อ และ การตั้งค่า
เมื่อเราเปิดเครื่องมาครั้งแรก เราจะพบกับเมนูของการเลือกภาษาที่จะแสดงใน Apple Watch แน่นอนว่ายังไม่มีภาษาไทยครับ
ที่นี้เมื่อเราเลือกภาษาแล้วจะเข้าสู่กระบวนการ Pair Apple Watch เข้ากับอุปกรณ์ครับ (iPad , iPhone ที่ใช้งาน iOS8.2 จนถึง 8.3 เท่านั้นครับ) และเราต้องเปิดบลูทูธบน iPhone , iPad ไว้สำหรับการเชื่อมต่อด้วย
เมื่อกด Start แล้วจะพบหน้าการรัน QR Core แบบดิจิตรอนแสดงการหมุนไปหมุนมา
ที่นี้เราก็เอา iPhone , iPad ที่มีการติดตั้ง iOS 8.2-8.3 เปิด App Apple Watch ในหน้าจอแล้วกด Start Pair มาถึงขั้นตอนที่จะจับคู่อุปกรณ์ให้ทำการเอากล้องไปส่องที่ QR Core ที่รันอยู่ที่หน้าปัดของ Apple Watch เพื่อทำการเชื่อมต่อ
เมื่อทำการ Sync เรียบร้อยแล้ว Apple Watch App จะสอบถามความถนัดของผู้ใช้ว่าถนัด หรือ ใส่นาฬิกาที่ข้อมือด้านไหน (ของผมด้านซ้าย)
มันก็จะสอบการเปิด Location Service บน Apple Watch ของเรา ซึ่งตัว Apple Watch นั้นไม่มีฟังชั่นการเปิด Location Service แต่จะทำการเชื่อมต่อจากระบบของ iOS มาบน Apple Watch ครับถ้าเรากด ON จะต้องไปเปิดในเมนูของ iPhone ใน Setting
แน่นอนว่าเมื่อไม่มีเมนูไทย ก็หมายถึง Siri บน Apple Watch จะไม่สามารถพูดไทยได้ครับ ไม่เป็นไรในส่วนนี้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้งาน
หน้าถัดมาจะให้เราตั้งรหัสผ่าน 4 ตัวบน Apple Watch ซึ่งเราจะตั้งไม่ตั้งก็ได้ ส่วนตัวไม่ได้ตั้งครับ เพราะต้องการหัน Apple Watch มาหาตัวแล้วแสดงภาพเลย เลยข้ามไป
หน้าถัดมาจะถามต่อเรื่อง App บน Apple Watch ว่าเราจะติดตั้งแบบ Auto คือมันจะโหลดมาให้เองทั้งหมดที่มี กับ เราเลือกเองตามที่เราต้องการให้มันแจ้งเตือนบน Apple Watch แนะนำว่าให้เลือกอันแรกไปเลย เพราะมันจะเลือกมาให้ทันทีครับตามที่เรามีในเครื่อง เรามี App ในเช่น Line , Twitter , Instagram มันมาหมดเองเลยครับ ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ชอบไปลบเอาในเครื่องได้ครับ
เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ Pair ครับ จากนั้นรอมันทำการจัดการ Data ที่ใช้งานการเชื่อมต่ออีกราวๆ 3-5 นาที ก็ใช้งานได้เลยครับ
ภาคการใช้งานจริง :: มันดียังไง และ มีอะไรน่าสนใจ
อันนี้คือหน้าจอหลักของ Apple Watch ที่จะแสดงวันเวลาและอุณหภูมิของเขตที่เราอยู่ในตอนนั้นตามจริงที่จะรายงาน ผ่าน Location Service รวมถึงตารางนัดหมายต่างๆบนปฏิทิน
เมื่อเราทำการสไลด์ส่วนบนลงล่างของหน้าจอลงมาจะเจอกัน Notification ซึ่งจะแสดงรายละเอียดการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งเหมือนกับ iPhone, iPad แต่ย่อมาไว้บน Apple Watch แทน โดยที่เราสามารถเปิดดูผ่าน Apple Watch ได้เลยไม่ต้องเปิดที่ iPhone , iPad ครับ
เมื่อเราทำการสไลด์ส่วนล่างขึ้นบนของหน้าจอจะเป็นส่วนของ Control Center ของ Apple Watch ในส่วนนี้จะแสดงรายละเอียดเช่น แบตคงเหลือ หรือ Music Control และ อุณหภูมิโดยรวม และ เวลาในประเทศต่างๆที่เราตั้งไว้ รวมถึงทั้งการปิดเปิด Air plan mode หรือ Wifi ได้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดทำได้เหมือน Control Center บน iPhone , iPad
เมื่อเรากดลงบนปุ่มเม็ดมะยม 1 ครั้งจะเข้าสู่เมนูของ Apple Watch ภายในนั้นจะแยก icon ของเป็นเม็ดกลมๆ ซึ่งเราสามารถปรับขนาดของ icon ต่างๆได้ด้วยการหมุนเม็ดมะยมข้างๆ ให้เล็กหรือใหญ่ขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
รายละเอียดส่วนของปฏิทินบน Apple Watch จะเป็นแบบแสดงการนัดหมายถึงบันทึกอะไรต่างๆ ซึ่งทั้งหมดจะ Sync มาจาก iPhone, iPad ทั้งหมด เราสามารถเข้าไปแก้ไข หรือ เพิ่มเติมด้วยคำสั่งเสียงกับ Siri หรือ แก้ไขเพิ่มเติมได้ที่ iPhone, iPad ได้
รายละเอียดส่วน Camera บน Apple Watch นั้นสามารถทำ Apple Watch เป็นชัตเตอร์สำหรับถ่ายภาพได้เช่นกัน เพียงแค่เข้า App Camera บน Apple Watch มันจะทำการเข้า Camera บน iPhone , iPad ทันที และ เราสามารถสั่งถ่ายรูป หรือ VDO จาก Apple Watch ได้ทันที จะเอาแบบ 1 ภาย หรือ 10ภาพต่อเนื่อง หรือ ตั้งเวลาถ่ายก็สั่งได้ทันที โดยที่รูปที่ถ่ายจะถูกบันทึกลง iPhone , iPad ทันทีครับ
รายละเอียดส่วน Music บน Apple Watch นั้นสามารถทำการเปิดเพลง หรือ สั่งทำการเปิดเพลง เปลี่ยนเพลง หรือ ปรับลดเพิ่มเสียงบน iPhone , iPad ได้ทันที โดยไม่ต้องไปยุ่งกับ iPhone , iPad สามารถเพิ่ม Play list และ Edit Play List ได้
รายละเอียดส่วน Email บน Apple Watch นั้นเราสามารถที่จะเช็ค Email เข้าเพื่ออ่านได้เท่านั้น ยังไม่สามารถที่จะ Reply เป็นข้อความกลับไปได้ครับ
รายละเอียดส่วน Map บน Apple Watch เราสามารถดูแผนที่จริงๆ ผ่านทาง Apple Watch ได้ทันที และ สามารถดูจุดที่เรายืนอยู่ รวมทั้ง Tag Location ที่เราอยู่ผ่าน Apple Watch ได้ทันทีด้วยการกดค้างไว้ที่หน้าจอครับ รวมถึงโหมดในการนำทางเราสามารถดูผ่าน Apple Watch ได้ด้วยเช่นกัน นับว่าตรงนี้ เซอร์ไพรส์มากๆครับ (เพราะปกติชอบขี่รถเที่ยวทั่วไทย)
รายละเอียดส่วน Camera Roll เราดูรูปทุกรูปที่เราถ่ายไว้บน iPhone , iPad ได้ผ่าน Apple Watch ได้ทันทีเพราะมันจะทำการแสดงรูปภาพทุกรูปที่เราถ่ายไว้ หรือ เราตั้งค่าให้มันแสดง Folder ไหนก็ได้ที่จะแสดงบน Apple Watch
รายละเอียดส่วน Contact บน Apple Watch เราสามารถดูรายชื่อเบอร์ติดต่อ และ สายที่เราโทรเข้าโทรออก พร้อมทั้งสั่งโทรที่ Apple Watch ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องไปเปิดเพื่อค้นหารายชื่อที่ iPhone , iPad
ที่นี้มาถึง App บางผมยกตัวอย่างเช่น Line มานะครับเวลามีการแจ้งเตือนของ Line เรากดเข้าไปดูข้อความได้ แต่เราไม่สามารถที่จะพิมพ์ตอบได้ ได้แค่ส่ง Emotion หรือสติ๊กเกอร์ของ Line ซึ่งเป็นแบบมาตรฐานเท่านั้น คาดว่าในอนาคตทาง Line จะทำการ Update ให้รองรับแบบของ สติ๊กเกอร์มากกว่านี้ สติ๊กเกอร์ไม่ต้องซื้อใหม่นะครับ เราใช้ของที่เรามีอยู่ได้ครับ แต่ Apple Watch จะบังคับให้เราใช้แค่แบบมาตรฐานแบบเดียวของ Moon เท่านั้นครับ (ใจร้ายโคตรๆ)
Twitter นั้น ก็เราสามารถดูข้อความ twitter ต่างๆของเพื่อนเราได้ เราสามารถกด Like หรือ Retweet ได้เช่นกันครับ แต่เราไม่สามารถที่จะพิมพ์ตอบกลับไปได้ครับ
Instagram เราสามารถเข้าไปดู Feed ของเพื่อนๆเราได้ทั้งหมดเช่นกันครับ แต่เราทำได้แค่กด Like เท่านั้นครับและดู คอมเม้นท์ได้แต่ตอบกลับไม่ได้ ยกเว้นการพิมพ์ตอบกลับด้วย Emoji เท่านั้นครับ
Setting บน Apple Watch เราสามารถเข้าไปปรับและตั้งค่าส่วนของวันเวลา แสงสว่างหน้าจอ รวมทั้งบลูทูธและการเชื่อมต่อต่างๆ ได้ครับ
เพื่อเข้าใจง่ายๆว่ามันใช้งานยังไง ผมทำ VDO ลงไว้ที่ Youtube ครับ :: http://youtu.be/Asxnrakv3xU
บทสรุป จากการใช้งานจริง
อันดับแรกเข้าใจความหมายของ Smart-Watch และ Smart-Phone ก่อน คำว่า Smart-Watch นั้นไม่ได้บอกว่ามันจะต้องทำได้ทุกอย่างครอบคลุมทั้งหมดแบบ Smart-Phone ที่สามารถทำงานทั้งหมดเกือบแทนที่ PC ได้ Apple เองก็เพิ่งผลิต Apple Watch เป็นครั้งแรก และ รุ่นแรกของระบบ OS iOS ขึ้นมาแน่นอนว่าจะต้องมีข้อผิดพลาดบางแหละ ในสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดที่ผมเห็นมีดังต่อไปนี้
ตัวเครื่องมีความหน่วงอยู่นิดๆในเวลาที่เราเข้าเมนูของ Apple Watch หรือ เวลาเราซูมและขยายเมนูต่างๆภายใน แน่นอนว่าเป็นรุ่นแรกๆจะต้องมีข้อผิดพลาดเหมือน iOS7 ที่ออกมาตอนแรกกว่าจะเสถียรก็ปาไป 7.1.2 ซึ่งเป็น iOS ที่ดีที่สุดของ Apple ทำออกมา
แบตของ iPhone ค่อนข้างกินเร็วพอสมควร จาก iPhone6Plus ที่เปิด 3G ใช้งานตลอดทั้งวัน เมื่อใช้คู่กับ Apple Watch แล้วอยู่ได้ไม่ถึง 10 ช.ม. ซึ่งตรงจุดนี้ Apple ได้ทำการแก้ไขรอไว้อยู่แล้วใน iOS8.4 ที่กำลังจะปล่อย Update ในช่วงเดือนหน้า
วัสดุที่บอกต่างๆว่าถ้าหากเป็นคนใช้ที่ไม่ทะนุถนอมย่อมมี ปัญหาเรื่องของแผลต่างๆบน Apple Watch ตามมาแน่นอนด้วยเช่นกันจริงนี้ไม่ได้ถือเป็นจุดบกพร่อง แต่ Smart-watch ค่ายอื่นๆถ้าใช้ไม่รักษาของก็มีเช่นกันเหมือนกัน
ในจุดที่เสียผมพูดไปแล้ว มาพูดถึงจุดที่น่าสนใจของมันบางดีกว่า จุดขายของ Apple Watch นั้นทาง Tim Cook ได้ออกมาบอกไว้ตั้งแต่ตอนงานเปิดตัวแล้วว่า จะช่วยในความสะดวกสบายในการใช้งานเมื่อใช้งานควบคู่กับ iPhone , iPad ซึ่งผลของ Apple Watch นั้นทำได้ตามที่ Tim Cook บอกไว้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแจ้งเตือน หรือ เรื่องของการใช้งาน ทั้งหมดคลอบคลุมพื้นฐานของ iPhone , iPad ทั้งหมด
โดยที่เราแทบไม่ต้องยกโทรศัพท์มาดูเลย ประกอบกับดีไซน์ของ Apple Watch เองนั้นดูมีราคาและวัสดุที่ดูมีราคาเช่นกัน จึงถือได้ว่าทำออกมาคุ้มค่ากับราคาที่เราต้องยอมจ่ายไปถึง 11,500 บาท (หรือ 12,900 บาท ราคาของ Apple Store ไทย อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งจะจำหน่ายในเดือน 6 ของปี 2558) ถ้าหากให้ผมยกตัวอย่างการใช้งานง่ายๆ ก็อธิบายได้ดังนี้
สมมุติว่าผมกำลังขับรถไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วบังเอิญว่าผมจำเป็นจะต้องใช้แผนที่ ซึ่งการใช้งานแผนที่ในขณะขับรถ นั้นลำบากตรงที่จะต้องหยิบมาเปิด หรือ หาที่วางไว้ในตำแหน่งสายตา แต่หากเราดูผ่าน Apple Watch เราก็มองแล้วให้มันนำทางไปได้เช่นกัน ซึ่งถือว่าสะดวกสบายมาก (เพราะผมขับบิ๊กไบค์และเพิ่งทดสอบใช้งานไปแล้ว) และการฟังเพลงในขณะขับรถ รวมถึง Car Play ที่จะรองรับในอนาคต หากมี Apple Watch จะสะดวกตรงที่ว่าเราสั่งผ่าน Apple Watch ได้ หรือ SIRI ก็ได้ โดยทั้งหมดที่ผมกล่าวมา ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ดูสักนิดเดียว
อันนี้คือในกรณีเล็กน้อยที่จริงข้อดีของมันมีมากกว่านี้ แต่ผมเอาที่ผมใช้ในชีวิตจริงๆของผมเอามาเล่าให้ฟัง ว่ามันทำแบบนี้ ส่วนเรื่องสายของ Apple Watch ที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น
อย่างที่ผมบอกไว้ว่า หากคุณซื้อรุ่น Sports แต่อยากได้สายแบบ สแตนเลส คุณสามารถเปลี่ยนได้แน่นอนผมคอนเฟิร์มแต่ ราคาเท่าไรนั้นผมไม่ทราบเพราะทาง Apple ไม่ได้ลง Detail ไว้ใน Store และ ในอนาคตผมเชื่อว่า ตามร้านทั่วๆไป จะมีการสั่งสายของ Apple Watch มาขายซึ่งผลิตจากจีน อย่างที่ผมบอกไปว่า คุณภาพของสายที่ Apple ให้มันมานั้นเหนียวและ คงทนมากๆอยู่แล้ว ที่สำคัญถึงเป็นยาง แต่ใส่แล้วให้ความรู้สึกสบายมากกว่ากัดมือตัวเองจริงๆ
ถ้าประเมินคะแนนของ Apple Watch ผมให้ 9 เต็ม 10 คะแนน ที่ให้คะแนนไปถึง 9 ไม่ได้อวยแต่อย่างใด แต่อย่างที่บอกมันคือ Smart-Watch ที่ทำมาเฉพาะคนใช้งาน iOS ไม่ได้ข้ามไปฝั่งของ Android ที่จะใช้งานด้วยได้ และในฟังชั่นและการคอนโทรลของมันที่ให้มานั้นสามารถทำการควบคลุมทั้งหมดผ่าน ได้ที่ Apple Watch ได้ทันทีแบบไม่ต้องหยิบโทรศัพท์มาดู รวมทั้งวัสดุที่ผมบอกตรงๆว่า Apple ให้ความสนใจกับวัสดุประกอบมากๆ ทำให้ความรู้สึกเหมือนใช้ของพรีเมียม ที่ขาดไป 1 คะแนนพลาดไปคือระบบภายในเท่านั้นที่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ผมใส่ใจทุกรายละเอียดของการประกอบ และ OS ภายใน
หวังว่าคงจะจุใจแล้วนะครับ เพราะเป็นการพิมพ์ Review ที่พิมพ์ยาวมาก รูปประกอบเยอะมาก และ เขียนทุกสัดส่วนจากของจริง การใช้งานจริง รวมถึงการทำงานของระบบของมัน เพื่อให้อารมณ์ที่อยู่เหมือนในข้อมือของคนอ่านเอง สำหรับวันนี้มีเท่านี้ และ ขอบคุณมากครับ ครั้งหน้าพบกันตอน iPhone6S เลยครับเดือน กันยายน หรือ ตุลาคมปีนี้ครับ สวัสดีครับ
สนับสนุนบทความโดย: Dr.Bia