สรุปรายละเอียด iPhone 6s และ iPhone 6s Plus อย่างเป็นทางการ พร้อมราคาเท่าเดิม
หลังจาก ที่ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะที่เป็น Smart Phone รุ่นใหม่จากค่ายผลไม้อย่าง Apple ซึ่งเป็นอีกไอโฟนที่มีจุดเปลี่ยนอย่างมากมายและมีความน่าสนใจจากคนทั่วโลกไม่น้อย โดยเริ่มจาก
หน้าจอ 3D Touch
เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้หน้าจอนั้นสามารถทำงานตามแรงกดของนิ้วมือเรา ซึ่งสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่น้ำหนักที่เบาแค่เลื่อน ไปจนถึงการกดระดับเต็มได้สูงสุดถึง 3 จังหวะ
การทำงานนี้ผ่านส่วน Capactive Sensor และการวัดแรงจาก Taptic Engine ชนิดเดียวกับที่ใช้ใน Apple Watch แต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นมีอยู่ที่ จังหวะการกดแบบแรกคือ Peek มันจะแสดงเป็นแบบ Popup ขึ้นมา ส่วนแบบ POP คือต้องการให้แสดงเต็มหน้าจอ
เราสามารถกดหน้าคงแล้วกดลึกไปอีกชั้น การแสดงผลจะเต็มหน้าจอ เช่นเวลาเช็คอีเมล์ หรือดูรูปผ่าน Gallery เป็นต้น และยังเพิ่มความสะดวกด้วย Quick Action ผ่านกดค้างที่ icon ในหน้า Home เพื่อเรียกฟังก์ชั่นด่วนได้อีกด้วย ดูวิธีการทำงานกดที่นี่
ความละเอียดของหน้าจอ
iPhone 6s มีการเพิ่มความละเอียดของหน้าจอเป็น 1334x750 เทียบเป็น Resolution เท่ากับ 326PPI ถือว่าสูงใช้ได้ เมื่อเทียบกับ iPhone 6 ปกติ ส่วน iPhone 6 Plus ยังคงความละเอียดเท่าเดิมคือ 192x1080 หรือ Full HD จะได้ Resolution เท่ากับ 401 PPI
ซึ่ง Pixel ในการแสดงเป็นแบบ Dual Domain มีรายละเอียดที่กว้างมากขึ้น พร้อมกับกระจกเคลือบสาร oleophobic coating กันรอยนิ้วมือมาให้อีกชั้นหนึ่ง และให้ฟีเจอร์ Reachability ที่สามารถลากลงแล้วแตะหน้าจอได้
ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
iPhone 6s และ iPhone 6s Plus มีการเปลี่ยนขุมพลังใหม่เป็น CPU A9 และ Co Processor M9 ที่คราวนี้ใส่ไว้ในที่เดียวกัน ซึ่ง Co Processor จะทำงานตลอดเวลา ทำให้ประสิทธิภาดเร็วขึ้นกว่าเดิม 60% และกราฟิกประมวลผลเร็วขึ้น 90% ทำให้กลายเป็น iPhone ที่เร็วที่สุดเลยก็ว่าได้
Touch ID รุ่นที่ 2
ครั้งแรกที่ใส่บน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus มีการปรับปรุงการทำงานให้สามารถตอบสนองได้ทันทีไม่ต้องกังวลว่าจะต้องรอนานเกินไป
กล้องที่ดีขึ้นทั้งหน้าและหลัง
กล้องหน้าของ iPhone 6s นั้นมีขนาด 5 ล้านพิกเซล F2.2 ที่ใช้จอภาพเป็น Flash เรียกว่า Retina Flash ยังสามารถถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด 720P พร้อมกับรองรับ HDR และ ใช้ในการ Facetime ผ่าน WiFi หรือเซลลูลาร์ ได้อีกด้วย
ส่วนกล้องหลังนั้น ให้กล้องหลังขนาด 12 ล้านพิกเซล พร้อมกับ LED Flash แบบ True Tone ซึ่ง มีชิ้นเลนส์ 5 ชิ้นและเปลี่ยนเซนเซอร์ในการเก็บรายละเอียดภาพให้ดีขึ้น นอกจากนี้สำหรับ iPhone 6s Plus ยังให้ระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS มาด้วย
สามารถถ่ายวีดีโอได้หลายแบบตั้งแต่ 4K (3840x2160) ในความเร็ว 30 FPS 1080P ได้ทั้ง 60FPS หรือ 30 FPS ส่วน Slow - mo ทำได้ทั้ง 720P 120 FPS จนถึง 240 FPS
นอกจากนี้ยังให้การถ่ายวีดีโอแบบ Live Photo ซึ่งสามารถแสดงผลผ่านอุปกรณ์ของ Apple ได้หลากหลายชนิด การถ่ายนั้นใช้เวลาเพียง 3 วินาที แค่กดหน้าจอค้างไว้ระหว่างถ่ายภาพ ลูกเล่นนี้สามารถนำไปใช้กับ Wallpaper ได้อีกด้วย
ตัวเครื่องที่แข็งแรงและมีสีชมพูให้เลือก
ตัวเครื่องของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ยังคงใช้การออแบบ Unibody เหมือนเดิม ไม่มีรอยต่อและดูกลมกลืนพร้อมสีที่ให้เลือกตั้งแต่ สีทอง สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีโรสโกลด์
แต่ที่ดีขึ้นเห็นจะเป็นการเลือกใช้อะลูมิเนียมเกรด 7,000 ที่มีความแข็งแรงมากขึ้น 60% เมื่อเทียบกับอะลูมิเนียมทั่วไป และส่งผลให้เครื่องมีน้ำหนักเบามากขึ้น
แบตเตอรี่
iPhone 6s สามารถใช้งาน Standby ได้นานสุด 14 ชั่วโมง ถ้าใช้งาน 3G/4G จะใช้งานได้ 10 ชั่วโมง ส่วน WiFi ใช้งานต่อเนื่องได้ 11 ชั่วโมง
iPhone 6s Plus จะสามารถ Standby ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ถ้าใช้งาน 3G/4G WiFi หรืออินเทอร์เน็ต อยู่ได้นานสุด 12 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต่างจากเดิม
iOS 9
iPhone 6s จะต้องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดที่เพิ่มเติมฟีเจอร์มากมายไม่ว่าจะเป็น Air Drop, Siri, รูปแบบ Multi Tasking, ระบบความปลอดภัย, หรือการสลับใช้งานได้เป็นต้น
ราคาของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus
แม้ว่าในงานที่เผยราคาแบบที่ต้องซื้อขาดกับทางผู้ให้บริการ สำหรับคนที่อยากได้เครื่องใหม่แบบไร้สัญญามีราคาอยู่ดังนี้
iPhone 6s
-16GB $649 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 23,350 บาท
-64GB $749 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 27,000 บาท
-128GB $849 คิดเป็นเงินบาทไทยประมาณ 30,700 บาท
iPhone 6s Plus
-16GB $749 คิดเป็นเงินบาทประมาณ 27,000 บาท
-64GB $849 คิดเป็นเงินบาทประมาณ 30,700 บาท
-128GB $949 คิดเป็นเงินบาทประมาณ 34,400 บาท
ราคาทั้งหมดนี้เป็นแค่การประมาณการ ซึ่งราคาของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ที่ขายในไทยจริงอย่างเป็นทางการต้องรอผู้ให้บริการนั้นเผยออกมาอีกครั้ง
ส่วนกำหนดการจำหน่ายในต่างประเทศ เริ่มรับจอง 12 กันยายน และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 25 กันยายนนี้ ส่วนเมืองไทยยังไม่มีกำหนดการออกมาแต่อย่างใด ใครที่อยากได้ต้องอดใจรอสักหน่อยนะครับ คิดว่าไม่นานหลังจากนี้แน่นอน
ที่มา Apple
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ