[รีวิว] Samsung Gear S3 Classic นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นสานต่อ ปรับโฉมใหม่ด้วยดีไซน์สุดคลาสสิกแบบกันน้ำ
[รีวิว] Samsung Gear S3 Classic นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นสานต่อ ปรับโฉมใหม่ด้วยดีไซน์สุดคลาสสิกแบบกันน้ำ อัปเกรดคุณสมบัติรอบด้านให้ดียิ่งขึ้น พร้อมเอาใจคนรักสุขภาพด้วย S Health
เปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ Samsung Gear 3 Classic ซีรีส์ Smart Watch รุ่นสานต่อที่ได้ปรับปรุงดีไซน์ตัวเรือน รวมถึงหน้าปัดจากรุ่น Gear S2 ให้มีความสวยงามตามสไตล์ย้อนยุคสมชื่อ ซึ่งหากมองผ่านๆ อาจนึกว่าเป็นนาฬิกาของจริงเลยทีเดียว นอกจากนี้ สำหรับใครที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำน่าจะถูกอกถูกใจไม่ใช่น้อย เพราะ Gear S3 Classic ยังคงพกพาฟีเจอร์เด็ดอย่าง S Health แอปพลิเคชันที่สามารถบันทึกแคลลอรี่, ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ รวมทั้งยังตรวจจับการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ พร้อมให้คำแนะนำเบื้องต้นราวกับเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวเลยทีเดียว
สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ก็ได้รับการปรับปรุงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ตประมวลผลแบบ Dual-Core ตัวใหม่ Exynos 7270, เพิ่มหน่วยความจำ RAM เป็น 768MB, ขยายความจุแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นที่ 380mAh, รองรับ GPS ภายในตัวสามารถบันทึกข้อมูลด้านระยะทางได้ และจะทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ Tizen OS เวอร์ชันใหม่หมดจด 2.3.2
ซึ่งภายในครั้งนี้ทางทีมงาน Techmoblog จะนำพาทุกท่านไปดูกันหน่อยว่า Samsung Gear S3 Classic จะสวยงามเพียงใด และมีฟีเจอร์เด็ดอะไรน่าใช้บ้าง
รีวิว Samsung Gear S3 Classic: ดีไซน์และการออกแบบ
Samsung Gear S3 Classic มาพร้อมกับหน้าปัดทัชสกรีนทรงกลมแบบ Super AMOLED ขนาด 1.3 นิ้ว ความละเอียด 360 x 360 พิกเซล พร้อมครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass SR+ โฉมใหม่ล่าสุดเป็นรุ่นแรกของโลก เพื่อช่วยปกป้องหน้าจอจากการตกกระแทกได้ดียิ่งขึ้น ส่วนกรอบของตัวเรือนผลิตมาจากวัสดุประเภท Stainless Steel ทำให้มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 49 x 46 x 12.9 มม. น้ำหนักรวม 59 กรัม ซึ่งถือว่าไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป
ด้านซ้ายของตัวเรือน มีลำโพงหลักของตัวเครื่อง โดยจะไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ
ด้านขวาของตัวเรือน จะมีปุ่มควบคุมด้วยกันทั้งหมด 2 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มย้อนกลับ (ด้านบน) และปุ่มโฮม (ด้านล่าง) นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งไมโครโฟนไว้ที่ด้านล่างเพื่อรองรับคำสั่งเสียง รวมไปถึงการสนทนาโทรศัพท์ผ่านนาฬิกาได้ทันที
สำหรับด้านใต้ มีเซ็นเซอร์สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และภายในมีแบตเตอรี่แบบ Li-Ion ความจุ 380mAh ติดตั้งอยู่ ซึ่งสามารถใช้งานได้ยาวนานประมาณ 3-4 วัน ตามการใช้งานแบบปกติ
ส่วนสายรัดข้อมือผลิตมาจากวัสดุแบบหนังแท้ที่มีความทนทาน และเข้ารูปกระชับข้อมือผู้สวมใส่เป็นอย่างดี โดยสายของ Gear S3 Classic ออกแบบมาให้เข้ากับสายนาฬิกาขนาดมาตรฐาน 22 มม. ซึ่งผู้ใช้งานสามารถหาซื้อสายนาฬิกาชนิดอื่นมาเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ด้านตัวล็อคสายของรุ่นนี้เป็นแบบแกนเดี่ยว สามารถปรับระดับความแน่นได้ถึง 9 ระดับ นอกจากนี้ยังผลิตด้วยวัสดุแบบ Stainless Steel ที่มีความทนทานเช่นเดียวกับตัวเรือน
บริเวณหน้าปัดนอกเหนือจากจะใช้งานแบบทัชสกรีนได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถหมุมบริเวณกรอบไปด้านซ้าย หรือขวา เพื่อควบคุมฟังก์ชันต่างๆ บน Gear S3 Classic เช่น ปรับระดับเสียง หรือดูแอปพลิเคชันต่างๆ
โดยเมื่อผู้ใช้ทำการพลิกข้อมือลง Gear S3 Classic จะทำการปิดหน้าจอให้แบบอัตโนมัติเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ซึ่งผู้ใช้สามารถปลุกหน้าจอให้สว่างอีกครั้งเพียงแค่ยกข้อมือขึ้นมาเหมือนกับการดูเวลาตามปกติเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Always-on-display (ต้องเปิดการใช้งานก่อน) ซึ่งจะทำการเปิดหน้าปัดนาฬิกาเอาไว้ตลอดเวลา แต่จะลดความสว่างของหน้าจอให้มืดลงเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ให้มากยิ่งขึ้น
Gear S3 Classic ยังยกระดับประสิทธิภาพและรองรับการใช้งานบนสภาวะอากาศที่หลากหลาย ด้วยฟีเจอร์กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ซึ่งสามารถกันน้ำลึก 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที แต่ไม่เหมาะกับการนำไปใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำ
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่จะเป็นการชาร์จแบบไร้สายทำงานควบคู่กับแท่นชาร์จ Wireless Charing ซึ่งผู้ใช้สามารถนำ Gear S3 Classic ไปวางไว้บนแท่นเพื่อชาร์จแบตได้เลยทันที ซึ่งตัวแท่นจะทำการดูดตัวนาฬิกาติดไว้ไม่ให้หลุดไปไหน โดยใช้เวลาชาร์จจาก 1% - 100% ประมาณ 2 ชั่วโมง
รีวิว Samsung Gear S3 Classic : ทดสอบการใช้งานเบื้องต้น
ก่อนเริ่มใช้งาน Samsung Gear S3 Classic จะแนะนำให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Samsung Gear ติดตั้งลงบนสมาร์ทโฟนเสียก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อการใช้งานแบบเต็มประสิทธิภาพ เมื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน Samsung Gear ก็จะเริ่มกระบวนการตั้งค่าเชื่อมต่อกับนาฬิกา Gear S3 Classic เพื่อจับคู่อุปกรณ์ ซึ่งในส่วนนี้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนแอปเบื้องต้นบนสมาร์ทโฟนได้
สำหรับ Samsung Gear เป็นแอปพลิชันที่สามารถเรียกดูข้อมูลเบื้องต้นกับ Gear S3 Classic ที่กำลังใช้งานอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณแบตเตอรี่, พื้นที่หน่วยความจำของตัวเครื่อง รวมไปถึงอัตราการใช้ RAM และสามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัดบน Gear S3 Classic จากสมาร์ทโฟนได้เลยทันที
นอกจากนี้ยังสามารถจัดการแอปพลิเคชันที่ติดตั้งลงบน Gear S3 Classic ได้ เช่น การจัดลำดับใหม่ หรือการลบแอปพลิเคชันออกจากตัวเครื่อง อีกทั้ง ยังสามารถเปิด-ปิดฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มเติม เช่น เปิดการแจ้งเตือนสำหรับแอปพลิเคชันบางชนิด รวมไปถึงการค้นหา Gear S3 Classic จากระยะไกลเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น ซึ่ง Gear S3 Classic จะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและการสั่น
ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเสริม หรือหน้าปัดลายอื่นๆ ผ่านทาง Samsung Galaxy Apps ซึ่งแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดจะทำการติดตั้งลงบน Gear S3 Classic ให้โดยอัตโนมัติ
ข้ามมาที่ฝั่งตัวนาฬิกากันบ้างกันบ้าง โดยภายในหน้าโฮมสกรีนจะเป็นจุดที่แสดงหน้าปัดของนาฬิกา และข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถกดค้างเพื่อเปลี่ยนรูปแบบของหน้าปัดได้ เมื่อลากนิ้วจากบนลงล่าง จะปรากฏหน้าต่างสำหรับแสดงสถานะของ Gear S3 Classic และปุ่มคีย์ลัดต่างๆ ได้แก่ ปริมาณแบตเตอรี่, ปุ่มใช้งานแอปพลิเคชันเพลง, โหมดเครื่องบิน, โหมดห้ามรบกวน, ปุ่มปรับระดับเสียงเรียกเข้า และปุ่มปรับความสว่างของหน้าจอ
นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถเพิ่ม Widget ต่างๆ บนหน้าโฮมสกรีนได้เพียงปัดหน้าจอหรือหมุนกรอบนาฬิกาไปทางขวาเท่านั้น
เมื่อกดปุ่มโฮมจะเข้าสู่หน้ารวมแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งมีให้เลือกใช้งานมากมาย และดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมผ่านทาง Samsung Galaxy Apps ได้ด้วย
เริ่มต้นที่แอปโทรศัพท์ก่อน โดยผู้ใช้งานสามารถโทรออกหรือรับสายผ่านทาง Gear S3 Classic ได้เลยทันที นอกจากนี้ยังสามารถพูดคุยผ่านทางนาฬิกาได้โดยตรง
สามารถดูหรือจัดการรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมดบนสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งจะต้องทำการซิงค์ข้อมูลกับมือถือที่เชื่อมต่อกับ Gear S3 Classic ก่อน
นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถพิมพ์ข้อความเพื่อส่งหาผู้อื่นได้เช่นกัน โดยแป้นคีย์บอร์ดจะถูกจัดเรียงให้อยู่ในรูปแบบ 3 x 4 และสามารถดาวน์โหลดคีย์บอร์ดภาษาไทยเพิ่มเติมได้ด้วย
ความพิเศษของ Gear S3 Classic ที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาอีกระดับ คือ ความสามารถเล่นเพลงผ่านทางนาฬิกาได้เลยทันที โดยเสียงจะออกมาบริเวณด้านข้างของตัวเรือน ซึ่งหากผู้ใช้รายใดมีหูฟังบลูทูธก็สามารถเชื่อมต่อกับ Gear S3 Classic ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเลือกได้ว่าจะเล่นเพลงจากสมาร์ทโฟน หรือจากที่เก็บข้อมูลของ Gear S3 Classic
สามารถตั้งนาฬิกาปลุกผ่าน Gear S3 Classic ได้ ซึ่งจากการทดสอบนั้นความดังของเสียงอยู่ในระดับที่พอดี ไม่เบาจนเกินไป
นอกจากนี้ยังสั่งการด้วยเสียงผ่านทางแอปพลิเคชัน S Voice ได้อีกด้วย (เบื้องต้นยังไม่รองรับคำสั่งภาษาไทย) โดยผู้ใช้งานสามารถพูดคำว่า "Hi-Gear หรือ Wake Up" เพื่อเรียก S Voice ขึ้นมาจากหน้าโฮมสกรีนหรือหน้าแอปพลิเคชันอื่นๆ สำหรับใครที่กังวลในเรื่องของการออกเสียงที่อาจพูดยากไปซักนิด ก็สามารถตั้งค่าเสียงเป็นแบบอื่นได้ตามใจชอบ
อีกหนึ่งในฟีเจอร์เด็ดนั่นก็คือ ความสามารถในการหาสมาร์ทโฟนของเราได้ โดยรูปแบบการทำงานจะส่งสัญญาณเตือนไปที่มือถือ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบตำแหน่งล่าสุดของมือถือได้อีกด้วย
รีวิว Samsung Gear S3 Classic : ทดสอบการใช้งาน S Health ฟีเจอร์เด็ดสำหรับคนรักสุขภาพ
สำหรับ S Health นับว่าเป็นแอปพลิเคชันที่เป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของซีรีส์ Gear S3 ซึ่งช่วยเปิดประสบการณ์สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลด้านสุขภาพเบื้องต้น และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ โดยระบบสามารถคำนวนปริมาณแคลลอรี่ที่ใช้ นับจำนวนก้าว รวมทั้งวัดอัตราการเต้นของหัวใจให้แบบอัตโนมัติ
เมื่อเปิดมาหน้าแรก ระบบจะแสดงจำนวนแคลลอรี่ที่ถูกใช้ไปภายในวันนี้ โดยคำนวนจากระยะทางที่เดิน รวมถึงการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ นั่นเอง นอกจากนี้หากใครใส่ Gear S3 นอนหลับ ระบบสามารถตรวจจับ พร้อมทั้งคำนวนประสิทธิภาพการนอนให้แบบอัตโนมัติ และแสดงผลรวมเอาไว้ภายในหน้านี้
ผู้ใช้สามารถกำหนดจำนวนก้าวเดินในแต่ละวันได้ ซึ่งหากทำสำเร็จ Gear S3 จะแจ้งเตือนให้ทราบ และเก็บข้อมูลลงบนโปรไฟล์ทันที
ในส่วนของฟีเจอร์การออกกำลังกาย ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าโปรไฟล์เบื้องต้นเกี่ยวกับข้อมูลของตนเอง เช่น เพศ อายุ และส่วนสูงเพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลในภายหลัง นอกจากนี้ยังเลือกรูปแบบกิจกรรมการออกกำลังกายได้ถึง 15 รูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การวิ่งบนลู่ สควอท กระโดดตบ ฯลฯ โดยสามารถกำหนดได้ว่าจะเล่นทั้งหมดกี่เซ็ต เซ็ตละกี่ครั้ง วิ่งเบาหรือหนักเป็นต้น ซึ่ง Gear S3 จะคอยทำหน้าที่ตรวจจับและเป็นโค้ชส่วนตัวเพื่อให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ด้วย
เมื่อเลือกโหมดการออกกำลังกาย และเริ่ม Workout เป็นที่เรียบร้อยแล้ว Gear S3 จะคอยตรวจจับข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโหมดการออกกำลังกายที่เลือกไว้ ไม่ว่าจะเป็น ระยะทาง, จำนวนครั้งที่ทำสำเร็จ ฯลฯ ซึ่งหากผู้ใช้หยุดทำกิจกรรม Gear S3 ก็จะหยุดตรวจจับด้วยเช่นเดียวกัน และเมื่อออกกำลังกายเสร็จสิ้น จะปรากฏหน้าจอที่ระบุค่าต่างๆ หลังจากออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นความเร็วสูงสุดที่ทำได้, เวลาที่ใช้ไป, อัตราการเต้นของหัวใจ และยังสามารถคำนวนพลังงานที่ใช้ไปให้แบบเสร็จสรรพด้วย
สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ โดยจากที่ทีมงานทดสอบนั้น ผู้ใช้จะต้องสวมใส่ Gear S3 ให้แน่นกว่าปกติ เพื่อการอ่านค่าที่แม่นยำ
ส่วนใครที่กลัวลืมดื่มน้ำบ่อยๆ สามารถบันทึกปริมาณน้ำ หรือจำนวนแก้วกาแฟที่กินไปผ่าน Gear S3 ได้เลยทันที ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำไปคำนวนเป็นสถิติเพื่อบ่งบอกถึงสุขภาพเบื้องต้นในภายหลัง
บทสรุปการใช้งาน
Samsung Gear S3 Classic ถือว่าเป็น smartwatch ที่น่าจับตามองไม่ใช่น้อย เนื่องจากมีดีไซน์ตัวเรือนที่โดดเด่น และดูมีความเป็นนาฬิกามากขึ้นกว่ารุ่นก่อน นอกจากนี้ตัวเรือนยังมีขนาดที่พอดีกับข้อมือ สวมใส่ได้กระชับ ส่วนหน้าปัดมีความละเอียดและคมชัดสูง สามารถสู้แสงได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะอยู่กลางแจ้งก็ตาม ทำให้สามารถใช้งานภายนอกได้แบบสบายๆ นอกจากนี้ตัวเรือนยังใช้สายนาฬิกาขนาด 22 มม. ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถนำสายนาฬิกาชนิดอื่นที่มีขนาดเดียวกัน มาปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้แก่ Gear S3 Classic ตามใจชอบได้ด้วย
นอกเหนือจากความโดดเด่นในด้านของดีไซน์ตัวเครื่องแล้ว Gear S3 Classic ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษต่างๆ ที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรับสายและโทรออกผ่านนาฬิกาได้เลยทันที หรือเช็คการแจ้งเตือนต่างๆ บนโทรศัพท์ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ในส่วนที่พิเศษที่สุดของนาฬิกาอัจฉริยะภายใต้ซีรีส์ Gear S3 คือ S Health หรือแอปพลิเคชันสำหรับตรวจจับข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้งานที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำครับ
สำหรับราคาค่าตัวของ Gear S3 Classic อยู่ที่ 12,900 บาท ซึ่งในขณะนี้ทาง Samsung แห่งประเทศไทยได้เริ่มจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีรุ่น Frontier ที่ได้รับการออกแบบด้วยดีไซน์สปอร์ตเป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วยเช่นเดียวกัน
จุดเด่นของ Samsung Gear S3 Classic
- หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 1.3 นิ้ว ที่มีความคมชัดสูง สามารถสู้แสงแดดภายนอกได้เป็นอย่างดี
- ฟีเจอร์กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 สามารถกันน้ำลึก 1.5 เมตร เป็นระยะเวลา 30 นาที
- รองรับการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟน
- สามารถโทรออก และรับสายได้ภายในตัว ไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน
- สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเสริมผ่านทาง Gear S3 ได้
- เปลี่ยนสายนาฬิกาได้หลากหลายรูปแบบ
- สามารถทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน Android รุ่นอื่นที่ใช้งานระบบปฏิบัติการเวอร์ชัน 4.4 และมี RAM 1.5GB ขึ้นไป (แต่บางฟังก์ชันจะไม่สามารถใช้งานได้)
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
- ไม่สามารถใส่ซิมการ์ดได้
- ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ iOS ได้
- ไม่สามารถใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำได้
- ฟังก์ชันบางอย่างยังคงต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟน