รีวิว Samsung Gear S3 Frontier Smart Watch อึดเพื่อขาลุยโดยตรง

มาถึง Generation ล่าสุดสำหรับ Smart Watch ของ Samsung ซึ่งครั้งนี้เราจะมารีวิว Samsung Gear S3 ซึ่งที่ได้รับมานั้นคือรุ่น Frontier ซึ่งเป็นรุ่นอึด ถึก ทน สำหรับ Samsung Gear S3 แล้วมันจะดีแค่ไหนนั้นมาดูกัน
รายละเอียดของ Samsung Gear S3 Frontier
- มิติขนาด 46 x 49 x 12.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 63 กรัม
- สี เทาดำ
- CPU : Exynos 7270, Dual 1.0GHz
- RAM : 768GB
- ความจำในตัว 4GB
- รองรับการเชื่อมต่อ : Bluetooth V 4.2, WiFi
- เซนเซอร์ : GPS, Accrometer, Barometer,
- หน้าจอ : Super AMOLED ขนาด 1.3 นิ้ว ความละเอียด 360x360 Corning Gorilla Glass SR+
- ระบบปฏิบัติการ TiZEN 2.3.2
- แบตเตอรี่ 380 mAh
รูปร่าง
ด้านหน้าเมื่อแรกเห็น จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่า Samsung Gear S2 ซึ่งเปรียบเทียบกับตรงรุ่นคือ Gear S2 Sport ค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีวงแหวน Brzel ให้อารมณ์เหมือนกับนาฬิกาขาลุยเพราะมันจะดูด้าน ๆ หน่อย พร้อมกับตัดเป็นร่องให้ตรงกับเข็มนาที โดยมีหน้าจอขนาด 1.3 นิ้วอยู่ตรงกลาง ใหญ่กว่าเดิมและคมชัดนกว่าเดิม พร้อม Touch Screen ได้เหมือนเดิม
ด้านข้างนั้นทำจากสแตนเลสน้ำหนักเบา พร้อมกับฝั่งซ้ายมีลำโพงขนาดจิ๋ว
ด้านข้างขวาจะแตกต่างกับรุ่น Classic ตรงที่ลักษณะของปุ่มกดจะเป็นแบบเปลี่ยม เก็บในตัวเครื่องไม่ยื่นออกมา โดยปุ่มบนจะเป็นปุ่ม Back และปุ่มด้านล่างเป็น Home
ด้านบนและล่างจะเป็นสายซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ทั้งสายหนังและสายยาง ตัว Frontier จะให้สายยาง ซึ่งเปลี่ยนได้ในภายหลัง ขนาดของสายคือ 22 มิลลิเมตร
ด้านใต้ให้ Heart Rate Monitor ที่แม่นยำขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับรองรับ Wireless Charge ได้ในตัว
ภาพรวมของตัวเครื่องนั้น แม้ว่าจะไปใกล้เคียงกับ Samsung Gear S2 Classic ในเรื่องของรูปร่าง แต่จุดเด่นของ Samsung Gear S3 Frontier นั้นคือเรื่องของออกแบบมาเพื่อคนใช้งานด้านการปีนวิบากมากกว่าเพราะนอกจากรูปร่างที่ได้แรงบรรดาลใจจากนาฬิกาเดินป่าแล้ว ยังทนทานตามมาตรฐาน MIL-810 ก็ถือว่าดีกว่ารุ่น Classic กันตรงนี้ แต่ด้วยความที่น้ำหนักของมันอยู่ที่ 63 กรัมเลยทำให้เป็นนาฬิกาที่หนักไปสักหน่อย
คุณสมบัติเด่น
สำหรับ Samsung Gear S3 Frontier นอกจากเรื่องความอึดถึงทนที่สามารถรองรับทั้งสภาพอากาศที่สามารถ ทนได้ทั้ง
- การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ -50 ถึง 60 องศาเซลเซียส
- ทนการตกจากความสูง 1.5 เมตรได้ 28 ครั้งกับไม้อัด
- ทนน้ำในระดับ IP68 คือลงน้ำได้ 1.5 เมตร นาน 30 นาที และห้ามว่ายน้ำ
ทีเด็ดของตัวนี้ยังคงมีมากมายทั้ง Barometer วันสภาพอากาศและความสูง ความกดอากาศ โดยรุ่นนี้ติดตั้งเซนเซอร์ให้เป็นรุ่นแรกของ Samsung
หน้าจอการแสดงผลสามารถเลือกให้ Always On ทำงานได้ แต่จะกินพลังงานมากกว่าเล็กน้อย
ฟังก์ชั่นโทรออกซึ่งเป็นการกลับมาในรอบหลายปีที่คุณสามารถสนทนาผ่าน Samsung Gear S3 ได้โดยไม่ต้องสวมหูฟัง แค่พูดเข้าไปก็สามารถคุยได้ทันที โดยตัวเครื่องจะสามารถเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าได้
ความจำในตัว 4GB นอกจากลงโปรแกรมในระบบ TiZen ที่จะต้องโหลดใน Samsung Apps เท่านั้น ยังสามารถนำเพลง Import เข้ามาในเครื่องและสามารถฟังเพลงได้จากลำโพงของเครื่องได้เช่นกัน
S Health เพิ่มลูกเล่นในการออกกำลังกายหลากหลายท่าและมีวิธีการออกกำลังกายที่ดีพอสมควร นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ GPS ที่สามารถติดตามว่าเราออกกำลังายที่ไหน พร้อมกับแสดงแผนที่ได้ และยังทำงานกับ Apps อื่น ๆ เช่น Uber ได้อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ Samsung Gear S4 ที่เข้ามาในไทย ยังคงเป็นรุ่น WiFi ทำให้ไม่รองรับ Samsung Pay และไม่มี Tag NFC มาให้
และยังมีอีก Mode ที่คนพิการทางสายตาส่วนใหญ่จะชอบคือ Screen Reader ซึ่งจะเป็นการสั่งงานแบบ Double Tab หรือการกด 2 ครั้งหรือสั่งงานมากกว่า 1 นิ้ว ซึ่งการทำงานนั้นถือว่าดีและลงตัว แต่ยังอ่านได้เฉพาะบางภาษาเท่านั้น ข้อความภาษาไทยยังไม่สามารถอ่านได้ ต้องลงโปรแกรมเสริมนะครับ
ส่วนแบตเตอรี่นั้นหลังจากรุ่น Gear S2 นั้นหลายคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าแบตฯไม่อึดเท่าไหร่ อยู่ได้ 1 - 2 วันเท่านั้น รุ่นนี้มีการพัฒนาใหม่ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 380 mAh ใช้งานได้ยาวนานสุดที่ 4 วัน แต่จากที่ทดลองมานั้น ถ้าไม่ให้แจ้งเตือนสามารถใช้งานได้เกือบ 4 วันตามที่เคลมไว้ แต่ว่าถ้าให้แจ้งเตือนอยู่ได้เกือบ 3 วัน และมี Mode Ultra Saving Mode ประหยัดพลังงานได้อีก
การเชื่อมต่อกับมือถือจะทำผ่าน Samsung Gear Apps เหมือนเดิม โดยสามารถสั่งงานได้ทั้งหมด พร้อมกับกดติดตาม Samsung Gear S3 และเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้หลากหลายแบบพร้อมกับควบคุมและ Update ข้อมูลได้
สรุปหลังจากลอง Samsung Gear S3 Frontier
เรียกได้ว่าสำหรับคนที่ต้องการ Smart Watch แนวเดินป่าครบเครื่องพร้อมกับอตกต่างจาก Smart Watch ตัวอื่นในตลาดรุ่นนี้ก็ถือว่าสวยและลงตัว ภาพรวมยังคงเหมาะกับผู้ชายเพราะการออกแบบตัวเครื่องที่ดูแกร่งและแมน แต่ว่าถ้าผู้หญิงใส่ลุยก็ไม่แปลกที่่จะคบหามันเป็นอีกอุปกรณ์ติดตัวอีกชิ้นหนึ่ง
ส่วนราคานั้นอยู่ที่ 12,900 บาท แม้จะไม่ได้แพงกว่า Samsung Gear S2 Classic ที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน แต่ก็ถือว่าพอฟัดกับ Apple Watch ที่เป็น Smart Watch จากฝั่ง Apple ที่ไม่สามารถใช้กับ Android ได้ และ Samsung Gear S3 นั้นก็ไม่สามารถข้ามไปหา iOS ได้ในเวลา แต่ถือว่านี่ก็ทำได้ดีจนหลายคนปันใจมาซื้อรุ่นนี้แทนเพราะครบเครื่อง แบตฯทนกว่า และที่สำคัญคือ สายหาของทั่วไปใช้ได้ ก็เลยมองว่ามันเป็นอีกรุ่นที่ทำออกมาได้ไม่เลวครับ
ข้อดี
- รูปร่างดูแมนแข็งแรง
- ลูกเล่นเยอะและลื่นไหล
- แบตเตอรี่ทนทานกว่าเดิมมาก
- มีลำโพงสามารถคุยโทรศัพท์และฟังเพลงได้
- ความจำในตัวเยอะ
ข้อควรปรับปรุง
- น้ำหนักตัวเยอะ
- ราคาไม่ได้ถูกอย่างที่คิด
- เชื่อมต่อ iOS ยังไม่ได้