5 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากให้แบต iPhone เสื่อมเร็วก่อนเวลา
การเสื่อมของแบตเตอรีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ใช้ iPhone รวมไปถึงสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ อยู่แล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องมีอายุการใช้งานของมัน สิ่งที่เราจะสามารถทำได้คือถนอมให้มันอยู่กับเราและคงประสิทธิภาพของมันเอาไว้ให้ได้นานที่สุด
แต่บ่อยครั้งที่เรากลับไปเร่งการเสื่อมของแบตเตอรีให้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยการใช้งานแบบผิดๆ อาจจะเป็นเพราะความเข้าใจผิดหรืออาจเพราะไม่ทราบมาก่อน ในวันนี้เราจึงได้หยิบเอา 5 วิธีการใช้งานแบบผิดๆ ที่ทำให้แบตเตอรี iPhone เสื่อมเร็วมานำเสนอให้ได้อ่านกัน เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนจะต้องเสียเงินเปลี่ยนแบตเตอรีใหม่ก่อนเวลาอันควรครับ
1. ใช้ iPhone ภายใต้อุณหภูมิเย็นจัด หรือร้อนจัด
อุณหภูมิภายนอกเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนอายุการใช้งานของแบตเตอรีที่มักจะถูกมองข้ามไปเสมอ สภาพแวดล้อมภายนอกที่เหมาะสมกับการใช้งาน iPhone ที่สุดนั้นอยู่ที่อุณหภูมิห้องหรือประมาณ 22 องศาเซลเซียส แต่สำหรับในบ้านเราหากไม่ได้เปิดแอร์อุณหภูมิห้องอาจจะอยู่ที่ 27-30 องศา ซึ่งก็พอจะอนุโลมกันไป ปกติการใช้งานสมาร์ทโฟนภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาขึ้นไปเป็นประจำจะทำให้แบตเตอรีสูญเสียความสามารถในการเก็บประจุไปราวๆ 20% ต่อปีอยู่แล้ว หากเรายิ่งใช้ภายใต้อุณหภูมิที่สูงกว่านี้ก็จะส่งผลเสียกับตัวแบตเตอรีมากขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเก็บมือถือไว้ในรถหรือตั้งไว้ให้โดนแดดนานๆ ครับ
นอกจากความร้อนแล้ว ความเย็นก็ส่งผลเหมือนกัน เพราะการใช้งานภายใต้อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรีเสื่อมเร็ว แต่ในบ้านเราคงจะหาโอกาสแบบนี้ได้ยากมากๆ อยู่แล้วครับ
2. ปล่อยให้แบตเตอรีหมดเกลี้ยง 0% แล้วชาร์จจนเต็ม 100% บ่อยๆ
แบตเตอรีลีเธียมไอออนที่เราใช้กันอยู่นี้มีจำนวนรอบในการชาร์จที่เรียกว่า Charge Cycle อยู่ ซึ่งการชาร์จ iPhone จนครบ 100% จะนับเป็น 1 cycle แต่การชาร์จ 1 ครั้งอาจไม่ได้นับเป็น 1 cycle เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น เราเริ่มต้นด้วยแบตเตอรี 100% และใช้ไปจนเหลือ 70% ในวันแรก แล้วทำการชาร์จจนเต็ม 100% อีกครั้ง วันต่อมาเราใช้งานไปจนเหลือ 30% แล้วชาร์จจนเต็ม 100% อีก เท่ากับว่าใน 2 วันนี้เราชาร์จไป 30+70=100% นับเป็น 1 cycle แม้จะชาร์จไป 2 ครั้งก็ตาม หากแบตเตอรีมีอายุการใช้งาน 500 cycle หลังจากพ้น 500 cycle ไปแล้ว แบตเตอรีจะเสื่อมลงอย่างมากและถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ครับ การรักษา cycle การชาร์จสามารถทำได้โดยการพยายามให้แบตเตอรี่อยู่ที่ 50-80% และไม่ควรชาร์จจาก 0% ไป 100% เหลือสัก 50% ก็นำไปชาร์จได้แล้วครับ
3. เปิดเครื่องเอาไว้ตลอดเวลา
เชื่อว่าหลายๆ คนคงใช้งาน iPhone โดยแทบจะไม่ได้ปิดเครื่องเลยตั้งแต่ซื้อมา ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเพราะ iPhone และสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป ก็ถูกพัฒนามาให้รองรับการสแตนด์บายนานๆ อยู่แล้ว แต่การเปิดเครื่องไว้ตลอดแบตเตอรีก็จะมีการคายประจุอยู่ตลอดเช่นกัน เพื่อเป็นการถนอมแบตเตอรีให้มีอายุการใช้งานยาวขึ้นอีกนิด เราควรจะปิดเครื่องบ้างเมื่อไม่ใช้งาน นอกจากนี้การปิดเครื่องยังเป็นเคลียร์ RAM ทำให้เครื่องกลับมาลื่นเหมือนเดิมอีกด้วย
4. เปิด WiFi และ Bluetooth ไว้ตลอด
การเปิด WiFi และ Bluetooth ทิ้งไว้ตลอดจะทำให้ iPhone ค้นหาสัญญาณ WiFi หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อเชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา และทำให้ตัวเครื่องไม่สามารถเข้าสู่ Sleep mode ได้ ดังนั้นจึงควรปิด WiFi และ Bluetooth เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โดยวิธีการปิดก็ง่ายๆ เพียงแค่สไลด์แถบเมนูขึ้นมาแล้วกดที่ไอคอน WiFi และ Bluetooth เท่านั้นครับ
5. ตั้งค่าความสว่างของหน้าจอเป็น 100% ตลอดเวลา
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าแสงของหน้าจอนี้ถือเป็นตัวสูบแบตอันดับหนึ่งเลยทีเดียว การตั้งค่าแสงหน้าจอไว้ที่ 100% แบตเตอรีจะต้องจ่ายพลังงานในส่วนนี้ถึง 80% ซึ่งแน่นอนว่าแบตเตอรีของเราจะลดฮวบฮาบอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเราจึงควรเปิด Auto Brightness หรือการปรับแสงหน้าจออัตโนมัติเพื่อประหยัดแบตเตอรี นอกจากนี้แสงที่จ้าเกินไปยังทำร้ายดวงตาของเราอีกด้วย เราสามารถเข้าไปตั้งค่าความสว่างของหน้าจอได้โดยไปที่ Settings > Display & Brightness > แล้วเปิด Auto-Brightness เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ
หวังว่าบทความที่นำมาฝากกันวันนี้จะช่วยให้ชาว iPhone และผู้ใช้สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ สามารถยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรีให้นานขึ้นกว่าเดิมและไม่ต้องไปเสียเงินเปลี่ยนแบตเตอรีกันบ่อยๆ ครับ แล้วพบกับสาระดีๆ ได้ใหม่ในคราวหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ