Apple Music vs JOOX vs Spotify vs Deezer เจ้าไหนคือสตรีมมิงเพลงในใจคุณ
การประกาศเข้ามาเปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการของผู้ให้บริการเพลงสตรีมมิงอย่าง Spotify ส่งผลให้การแข่งขัน ‘การให้บริการเพลงสตรีมมิง’ หรือการให้บริการฟังเพลงออนไลน์ ในประเทศไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยตลาดไทยมี JOOX และ Apple Music ให้บริการอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งนี้ Apple Music และ JOOX ต่างได้อานิสงส์จากอินเทอร์เน็ตบนมือถือในประเทศไทยที่มีการขยายตัว อีกทั้งการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ต 4G ด้วย จึงมีความพร้อมที่บริการสตรีมมิงระดับโลก ทยอยมาเปิดให้บริการในประเทศไทย
ตอนนี้เรามี Apple Music เรามี JOOX และเรากำลังจะมี Spotify สุดท้ายแล้วผู้ให้บริการายใด คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของนักฟังเพลง
Apple Music
เมื่อพูดถึง Apple พวกเขาคือผู้ที่ปฏิวัติการฟังเพลงในยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง การเปลี่ยนผ่านจากการฟังเพลงด้วยเครื่องเล่นเทป หรือบนมือถือฟีเจอร์โฟน มาเป็นการฟังเพลงที่ต้องฟังผ่านเครื่องเล่นเพลงนามว่า iPod ต่อด้วยการสร้างร้านค้าออนไลน์สำหรับการซื้อหาและฟังเพลงอย่าง iTunes
ก่อนที่ยุคของการฟังเพลงจะเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อผู้บริโภคไม่ต้องการซื้อเพลงจาก iTunes ที่สามารถฟังได้แค่อัลบั้มที่เราซื้อไว้เท่านั้น มาเป็นการฟังเพลงในรูปแบบสมาชิกรายเดือน ฟังเพลงไม่อั้น ไม่จำกัดศิลปิน กอปรกับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนขยายตัวอย่างรุนแรง การฟังเพลงในรูปแบบสตรีมมิงจึงเป็น ‘อนาคตใหม่’ ที่ผู้ให้บริการต้องให้ความสำคัญ
นั่นจึงเป็นที่มาของ Apple Music
เพลง
ความได้เปรียบของ Apple คือ ฐานข้อมูลของนักดนตรี ศิลปิน และมีคอนเน็กชันกับค่ายเพลงที่ผูกพันกันมานาน แนวเพลงครอบคลุม ตั้งแต่ป๊อบ, ร็อค, ฮิปฮอป, แจ๊ซ เป็นต้น
พร้อมกันนี้ด้วยความที่ Apple จ่ายเงินเป็นกรณีพิเศษให้กับศิลปินปล่อยอัลบั้มแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่หาฟังได้เฉพาะที่ Apple Music เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Taylor Swift หรือ Drake เป็นต้น นั่นจึงทำให้ Apple Music เป็นทั้งผู้ให้บริการสตรีมมิงเพลงที่มีเพลงมากที่สุด รวมถึงมีอัลบั้มเพลงที่ไม่สามารถหาฟังได้จากที่อื่นไปในคราวเดียวกัน
เท่านั้นไม่พอ Apple ยังกุมความได้เปรียบจากการที่ Apple Music เป็นแอปพลิเคชันที่ฝังมากับ iPhone และอุปกรณ์ทุกชนิดของ Apple ทำให้โอกาสที่ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple สามารถเลือกสมัครใช้บริการสตรีมมิงเพลงของ Apple ได้ง่ายดายกว่าคู่แข่งสตรีมมิงรายอื่น ก่อนที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการ Android
ฟีเจอร์
Apple Music มาพร้อมกับฟีเจอร์การฟังเพลงแบบออฟไลน์ สมาชิกสามารถที่จะดาวน์โหลดเพลงเก็บไว้ในเครื่องหรือเม็มโมรี (สำหรับสมาร์ทโฟน Android) แล้วฟังเพลงในรูปแบบออฟไลน์ ซึ่งจะลดปัญหาการบริโภคอินเทอร์เน็ตระหว่างการฟังสตรีมมิง
พร้อมกันนี้ Apple Music ยังมีฟีเจอร์ที่เป็นการติดตาม Post ของศิลปินที่เราให้ความสนใจ ซึ่ง Apple เรียกว่า Connect Post โดยรูปแบบจะคล้ายสเตตัสที่เราเห็นบน Facebook ซึ่งหากเราติดตามศิลปินคนใดอยู่ หากมีการอัปเดทใหม่ๆ ก็จะเห็นได้จากหน้าฟีดนี้
คุณภาพเสียง
สิ่งสำคัญที่นักฟังเพลงยกให้เป็นสิ่งสำคัญ นอกเหนือไปจากจำนวนเพลงแล้ว นั่นก็คือ เรื่องของคุณภาพเสียงที่สตรีม
แม้ Apple จะไม่ได้บอกอย่างเป็นทางการว่า เสียงที่ออกจากการสตรีมนั้นมีคุณภาพเท่าไหร่ แต่การเปิดเผยของ 9to5mac ระบุว่า คุณภาพเสียงในการสตรีมจาก Apple Music อยู่ที่ 256Kbps AAC ซึ่งเป็นคุณภาพเดียวกับการซื้อเพลงจาก iTunes
ตรงนี้ถ้าเทียบคู่แข่งรายอื่นต้องยอมรับว่า Apple Music ด้อยกว่าพอสมควร
อัตราค่าบริการ
Apple Music แพกเกจสำหรับการสมัครเป็นสมาชิก 3 แบบด้วยกัน 1. สมาชิกแบบบุคคล 129 บาทต่อเดือน 2. แบบครอบครัว 199 บาท/เดือน และแบบนักศึกษา 69 บาทต่อเดือน โดยจะเปิดให้ทดลองใช้งานฟรีก่อนเป็นเวลา 3 เดือน
สรุป
Apple Music เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงที่มีมาตรฐานกลาง เพียงแต่ยังขาดความโดดเด่นในเรื่องของคุณภาพเสียงที่ยังเป็นรองคู่แข่งทั้งในส่วนของ JOOX หรือ Spotify
ขณะเดียวกันการฟังเพลงของ Apple Music ต้องขึ้นอยู่กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ในฝั่ง Mac เท่านั้น ยังไม่สามารถฟังเพลงผ่าน Browser ได้เมื่อเทียบกับ JOOX หรือ Spotify ที่รองรับการใช้งานส่วนนี้
JOOX
ถ้านับตามอายุการเปิดให้บริการแล้ว JOOX ถือว่าเป็นผู้ให้บริการ สดใหม่ในตลาดสตรีมมิง และถ้าหากนับการเข้ามาในประเทศไทย JOOX ถือว่าเข้ามาทำตลาดในไทยก่อนหน้า Spotify และคล้อยหลัง Apple Music ไม่นานนัก
เพลง
JOOX มีข้อได้เปรียบเรื่องของเพลงไทยเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่น
ฟีเจอร์
สิ่งที่ JOOX ได้เปรียบกว่าคู่แข่งทั้งสองเจ้า คือเรื่องของฟีเจอร์ เนื่องจาก JOOX มีฟีเจอร์สำหรับการฟังเพลงมากมาย ตั้งแต่ฟีเจอร์สำคัญๆ อาทิ การเปิดให้ฟังเพลงฟรีๆ โดยจะจำกัดสิทธิ์เพลงหรืออัลบั้มบางส่วนไว้เฉพาะผู้ใช้งานที่สมัครเป็น VIP อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มในการฟังเพลงที่หลากหลาย เพราะไม่ได้จำกัดวงเฉพาะการฟังเพลงในสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android แต่ยังฟังเพลงบนเว็บเบราว์เซอร์ผ่านหน้าเว็บ Sanook.com ได้อีกด้วย (เข้าตรงที่ music.sanook.com)
ตามมาด้วยฟีเจอร์เกี่ยวกับการแต่ง theme บนแอปพลิเคชัน JOOX, การแชร์เนื้อเพลงลงสู่ Social Media หรือฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปในปี 2017 เช่น JOOX Live ซึ่งบริการถ่ายทอดสดของศิลปิน ฟีเจอร์คาราโอเกะ ซึ่งเหล่านี้ไม่มีใน Apple Music หรือ Spotify
คุณภาพเสียง
JOOX มีระดับของคุณภาพเสียงให้เลือกทั้งแบบ Standard และ Medium โดยระดับ Standard นั้น ให้บริการสำหรับ Free User ที่ 128 kpbs ส่วน Medium คือ คุณภาพเสียง Hi-Fi ที่ 192kbps ซึ่งเปิดให้สำหรับผู้สมัครแบบ VIP
อัตราค่าบริการ
ค่าบริการหรือที่ JOOX เรียกว่า JOOX VIP จะแบ่งระดับการให้บริการสมาชิกที่ย่อยละเอียดกว่า Apple Music หรือ Spotify กล่าวคือ ผู้ใช้งานเลือกได้ว่า จะต้องการเป็นสมาชิกนานมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นรายสัปดาห์เริ่มต้น 69 บาท รายเดือน 129 บาท รายสามเดือน 349 บาท สมาชิกครึ่งปี 639 บาท และรายปี 1,099 บาท
สรุป
JOOX มีฟีเจอร์ที่แตกต่างจาก Apple Music หรือ Spotify อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะฟีเจอร์เกี่ยวกับคาราโอเกะ หรือการแชร์เพลงลงสู่ Social Media ซึ่งผู้ให้บริการทั้งสองไม่มี
ขณะเดียวกัน JOOX เป็นผู้ให้บริการเพลงสตรีมมิงที่เน้นไปยังนักฟังเพลงชาวไทย จึงทำให้มีฟีเจอร์พิเศษๆ เกี่ยวกับศิลปินไทย เช่นการดู JOOX Live ซึ่งตรงนี้ทำให้นักฟังเพลงใกล้ชิดกับศิลปินกว่า Connect Post
ส่วนในเรื่องของการให้บริการถ้าเทียบเป็นรายบุคคล JOOX ถูกกว่าถ้าหากสมัครเป็นสมาชิกรายปี ซึ่ง JOOX ยังไม่เปิดแพคเกจการเป็นสมาชิกแบบครอบครัว
Spotify
สตรีมมิงน้องใหม่สำหรับตลาดไทย Spotify เปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการ 22 สิงหาคมนี้
Spotify เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2006 ก่อนที่จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเริ่มโฟกัสเข้าสู่แอปพลิเคชันในยุคที่สมาร์ทโฟนเบ่งบาน
เพลง
Spotify สามารถตอบโจทย์กลุ่มนักฟังเพลงได้เกือบทุกแนว โดยเฉพาะเพลงต่างประเทศ ในกลุ่มเพลงจากศิลปินอินดี้ Spotify มีเครือข่ายที่กว้างขวาง
ฟีเจอร์
Spotify ยังเป็นผู้ให้บริการเพลงสตรีมมิงที่นำเอา AI หรือ Artificial Intelligence เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของนักฟังเพลง เพื่อที่จะนำเสนอเพลย์ลิสต์ที่คาดว่าจะตรงใจกับนักฟังเพลง ซึ่งผู้ให้บริการรายอื่นยังไม่มี
พร้อมกันนี้ Spotify ยังใช้ความเป็น Social Media ได้คุ้มค่า กล่าวคือ มีการเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถ add friend ทั้งเพื่อนในโลกความเป็นจริง และเพื่อนในโลกออนไลน์ เพื่อทำการแลกเปลี่ยนเพลย์ลิสต์ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก เพราะจะเป็นการขยายแนวเพลงให้กว้างไกลขึ้น รวมถึงยังมีระบบแจ้งเตือนเมื่อศิลปินที่เราให้ความสนใจมีการอัปเดท หรืออกซิงเกิล หรืออัลบั้มใหม่
ขณะเดียวกัน Spotify มีฟีเจอร์สำหรับฟังเพลงฟรี แบบมีข้อจำกัด และการฟังเพลงฟรีของ Spotify นั้น จะไม่สามารถฟังเพลงแบบออฟไลน์ได้ และต้องฟังโฆษณาแทรกระหว่างการฟังเพลง เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือสิ่งที่คนฟังเพลงต้องเลือก
นอกจากนี้ Spotify ยังมีสิ่งที่เหมือนกับ JOOX คือ การให้บริการบนคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Apple Music ยังไม่มี
คุณภาพเสียง
ในแง่ของคุณภาพเพลง Spotify ถือว่ามีคุณภาพเพลงที่สูงทีเดียว โดยจะสตรีมเพลงที่ 320Kbps ogg ซึ่งสูงกว่า Apple Music
อัตราค่าบริการ
ในช่วงดึกของคืนวันที่ 21 สิงหาคม ในที่สุดราคาค่าบริการ Spotify ก็เปิดเผยออกมาจนได้ผ่านทางเว็บไซต์ โดยค่าบริการรายเดือนลูกค้ารายบุคคลอยู่ที่ 129 บาทต่อเดือน ส่วนสมาชิกแบบครอบครัวจะจำกัดจำนวนแค่ 6 คน อยู่ที่ 199 บาท และสมาชิกรายปีอยู่ที่ 1,548 บาท (ทางเราจะอัพเดทอีกครั้ง เมื่อมีการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ)
Deezer
รายสุดท้ายที่จะกล่าวถึงนั่นคือ Deezer ซึ่งนับได้ว่าเป็นผู้ให้บริการเพลงสตรีมมิงเจ้าแรกที่เปิดให้บริการในไทยในเดือนตุลาคม 2012 โดย Deezer เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงจากฝรั่งเศส ซึ่งมีฟีเจอร์ที่คล้ายกับ Spotify รวมถึงมีคลังเพลงที่มหาศาลไม่แพ้กัน
- คลังเพลง
มีจุดเด่นตรงที่ Deezer มีคลังเพลงร็อคเก่าๆ ที่หาฟังยาก ไปจนถึงมีบริการเพลงของค่าย RS ให้คนในยุค 90s ได้โหยหาอดีต (Nostalgia)
นอกเหนือจากนี้ Deezer ยังมีการแนะนำหมวดเพลงที่ค่อนข้างแตกต่างกว่า Spotify, JOOX และ Apple Music กล่าวคือ มีแนะนำแนวเพลงแปลกๆ ที่หาฟังได้ยาก เช่น เพลงในสไตล์ละติน, แอฟริกัน, บราซิลเลียน รวมถึง Original Soundtrack ที่มาจากเกมหรือภาพยนตร์ เป็นต้น - ฟีเจอร์
Deezer ก็มีระบบการแนะนำเพลงอัจฉริยะไม่ต่างไปจาก Spotify โดย Deezer ได้เรียกฟีเจอร์นี้ว่า Flow อันเป็นฟีเจอร์สุ่มเพลงที่คัดเลือกจากแนวเพลงที่คนฟังเพลงแต่ละคนให้ความสนใจ รวมถึงการ track การฟังเพลงของผู้ใช้งานรายนั้นๆ ว่า ก่อนหน้านี้เคยฟังเพลงแนวไหนมาก่อน แล้วนำเสนอให้เราฟังผ่านฟีเจอร์ Flow
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Deezer อยู่ตรงที่มีการแบ่งการใช้งานที่ชัดเจน ถ้าหากเราติดตามศิลปินคนไหนเป็นพิเศษ สามารถดูความเคลื่อนไหวของศิลปินนั้นๆ ได้ผ่านจาก Notifications ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ด้าน Social Media ได้ดี
ขณะเดียวกันผู้ใช้งานสามารถซิงค์เพลงที่มีอยู่ในเครื่องเข้าสู่ Deezer ได้ ซึ่งรองรับไฟล์เพลงที่เป็น MP3 ด้วย รวมถึง Deezer ยังเป็นอีกหนึ่งบริการสตรีมมิงที่รองรับการใช้งานทั้งบนสมาร์ทโฟนและเดสก์ท็อปเหมือนกับ Spotify และ JOOX - คุณภาพเสียง
การให้บริการของ Deezer มีความคล้ายคลึงกับ Spotify ในแง่ของคุณภาพการฟังเพลง ถ้าหากผู้ใช้งานไม่ได้เป็นสมาชิกคุณภาพของเสียงที่สตรีมออกมาจะอยู่ที่ 128Kbps เท่านั้น (พร้อมกับมีโฆษณาคั่นระหว่างการฟังเพลง) แต่ถ้าหากสมัครเป็นสมาชิกคุณภาพของเพลงจะถูกยกระดับเป็น 320Kbps เท่ากับ Spotify - อัตราค่าบริการ
Deezer แบ่งการให้บริการออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ ผู้ใช้งานฟรี, พรีเมียม และแฟมิลี โดยลูกค้าพรีเมียมจะมีค่าบริการ 155 บาทต่อเดือน และสามารถใช้งานได้ฟรีใน 30 วันแรก ส่วนลูกค้าแบบแฟมิลีมีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 235 บาทต่อเดือน ซึ่งมีราคาที่แพงกว่า Apple Music และ Spotify ค่อนข้างมาก
สรุป
ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว Deezer แทบไม่มีความแตกต่างจาก Spotify มากนัก ทั้งในเรื่องของคลังเพลง เรื่องของเทคโนโลยีที่นำมาให้บริการ เพียงแต่การให้บริการของ Deezer ในไทยไม่ค่อยหวือหวามากนัก ประจวบกับกระแสความนิยมใน Spotify ที่ผู้ใช้ชาวไทยจำนวนมากยอม ‘มุด’ ไปใช้บริการยังต่างแดน อันเนื่องจากเหตุผลด้านการตลาดจนทำให้เกิดกระแสความนิยมของ Spotify อย่างมาก
อย่างไรก็ดีผู้เขียนคิดว่า Deezer ยังมีปัญหาใหญ่หลวง คือขาดความชัดเจนว่า จะทำการตลาดกับลูกค้ากลุ่มใด ระหว่างกลุ่มผู้ใช้งานที่เน้นฟังเพลงต่างประเทศและฟังเพลงไทย เพราะหาก Deezer ให้ความสำคัญกับเพลงไทยจริง เมื่อลองดูคลังเพลงของ Deezer จะพบว่า ยังขาดเพลงสาย ‘Mass’ เช่น เพลงจากค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ถึงแม้ Deezer จะมีเพลงของค่าย RS ให้บริการก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมว่า เพลงค่าย RS ทาง JOOX ก็มีให้บริการเช่นกัน หรือเมื่อเทียบกับเพลงสากลแล้ว ที่ผ่านมาการโฆษณาผ่านสื่อของ Deezer มีค่อนข้างน้อย จนทำให้ Deezer ก็ดูจะไม่ได้เป็นสตรีมมิงที่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
ส่วนเรื่องระดับราคาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะการตั้งราคาของ Deezer แพงกว่าสตรีมมิงทุกราย ทั้งสมาชิกรายบุคล และสมาชิกแบบแฟมิลี
ส่วนใครที่อยากรู้ราคาอย่างเป็นทางการที่ทำการประกาศเมื่อเช้าวันที่ 22 สิงหาคม ก็สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Spotify เปิดราคาในไทยแล้วเริ่มต้น 129 บาท แบบครอบครัว 199 บาทต่อเดือน