10 เรื่องน่ารู้ของ Huawei Mate 10 อ่านจบ ครบ เข้าใจในทันที
เชื่อว่าการเปิดตัว Huawei Mate 10, Mate 10 Pro ไปจนถึงรุ่นสุดหรูอย่าง Mate 10 Porsche Design คงทำให้เงินในกระเป๋าของใครหลายๆ คนต้องสั่นๆ กันบ้าง เพราะครั้งนี้ถือว่า Huawei พัฒนาสเปกแบบจัดเต็ม ภายใต้งานออกแบบที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ในความเป็น Mate Series พร้อมก้าวสำคัญด้วยการประยุกต์เทคโนโลยี AI เข้ามารวมไว้บนสมาร์ทโฟน จากทั้งหมดในการเปิดตัว aripfan จึงสรุปข้อมูลออกมาให้ทุกท่านอ่านเข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ
1. ดีไซน์ไม่เปลี่ยนมาก คงเอกลักษณ์ความเป็น Mate Series
Mate 10, Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design ยังคงเอกลักษณ์ด้วยตัวเครื่องขนาดใหญ่ ซึ่ง Mate 10 กับ Mate 10 Pro ใช้โลหะเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เรียบง่ายและหรูหรา เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบริเวณด้านหลังที่จะมีเส้นทึบวางซ้อนอยู่กับกล้องหลัง Huawei เรียกว่า “Signature Stripe”
ส่วน Mate 10 Porsche Design ตัวเครื่องใช้กระจกและโลหะเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ด้านหลังจะมีลักษณะเงางามคล้ายเซรามิก และ Signature Stripe จะเป็นแนวตั้ง
Huawei Mate 10 Porsche Design
2. การแสดงผลความละเอียดสูง ภายใต้หน้าจอแบบ FullView Display
หากใครยังจำกันได้เมื่อครั้งที่ผมรีวิว nova2i รุ่นนั้นเป็นครั้งแรก Huawei เลือกใช้หน้าจอแบบ FullView Display อัตราส่วน 18:9 และกับ Mate 10, Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design ก็ไม่พลาดเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ FullView Display เช่นเดียวกัน
ในแง่ความละเอียดของ Mate 10 อยู่ที่ 2560 x 1440 พิกเซล 499 ppi ภายใต้หน้าจอ LCD ขนาด 5.9 นิ้ว สัดส่วนหน้าจอบนตัวเครื่องคิดเป็น 81.69% ส่วน Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design ความละเอียด 2160 x 1080 พิกเซล 402 ppi ภายใต้หน้าจอ OLED ขนาด 6 นิ้ว สัดส่วนหน้าจอบนตัวเครื่องคิดเป็น 80.97%
3. ชิปประมวผล Kirin 970 ผสมสานกับ AI
Huawei Mate 10 ทั้งสามรุ่น ใช้ชิปประมวลผล Kirin 970 ทั้งหมด พัฒนาขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมการผลิตที่ 10 นาโนเมตร Octa-core แบบ 64-bit (4 Cortex A73 2.36GHz + 4 Cortex A53 1.8GHz) ส่วน GPU หรือชิปกราฟิกใช้ Mali-G72 12-core และภายในยังมาพร้อมเทคโนโลยี AI ในชื่อ Neural-network Processing หรือ NPU ระบบประมวลฉลาดๆ ที่ช่วยการทำงานภายใน Mate 10 ทั้งสามรุ่น มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
NPU ภายใน Mate 10 ทั้งสามรุ่น สามารถเรียนรู้และเข้าใจในพฤติกรรมการการใช้แอพพลิเคชั่นของผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ ทำให้สามารถเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่นนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาการเข้าถึง และช่วยลดการใช้พลังงาน
นอกจากนี้ NPU ยังสามารถปรับแต่งประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อการเรียกใช้งานต่างๆ ได้ดีขึ้น 60% และให้ความลื่นในการใช้งานได้ดีขึ้น 50%
ที่สำคัญสำหรับนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นสามารถใช้ API จาก Kirin API ไปใช้ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ด้วย
4. ได้ใช้ Android 8.0 Oreo ทันที พร้อมส่วนติดต่อผู้ใช้ใหม่ EMUI 8.1
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่แสดงถึงการก้าวไปข้าวหน้าใน Mate 10 ทั้งสามรุ่น มาพร้อม Android 8.0 Oreo ทันที และก้าวกระโดดส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) จาก EMUI 5.2 มาเป็น EMUI 8.1 เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับหน้าจอแบบ FullView Display ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. กล้องหลังคู่ Leica และ AI ช่วยให้ถ่ายรูปได้ดีขึ้น
สเปกกล้องหลังคู่ของ Mate 10 ทั้งสามรุ่น ยังมากับเทคโนโลยีจาก Leica ในความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (เก็บภาพสี) กับ 20 ล้านพิกเซล (เก็บภาพขาวดำ), ค่ารูรับแสง f/1.6, ระบบกันสั่น OIS, ระบบโฟกัสภาพ 4-in-1 hybrid focus และ Huawei hybrid Zoom
และอย่างที่บอกครับว่ากล้องของ Mate 10 ทั้งสามรุ่น มีการใช้ NPU มาช่วยเรื่องการถ่ายรูปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง NPU จะสามารถระบุสิ่งที่ผู้ใช้กำลังจะถ่ายและปรับคุณภาพให้แบบเรียลไทม์ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งค่าใดๆ เลย นอกจากนี้ NPU ยังมีคุณสมบัติในการระบุประเภทของวัตถุได้ถึง 13 แบบ
6. รองรับ 4.5G และ Dual 4G VoLTE
ใน Mate 10 ทั้งสามรุ่น รองรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สาย 4.5G 1.2Gbps (4×4 MIMO + 256QAM + 3CC CA) ส่วนใน Mate 10 และ Mate 10 Pro ยังสามารถใช้งาน 4G ได้ทั้งสองซิม พร้อมด้วย VoLTE ซึ่งถือเป็นครั้งแรกบนสมาร์ทโฟน
7. กันน้ำ กันฝุ่น ได้แล้ว
อีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนรอคอยกันมานาน นั่นคือ กันน้ำ กันฝุ่น ซึ่งในรุ่น Mate 10 มาพร้อมมาตรฐาน IP53 กันฝน กันละอองน้ำ ส่วน Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design มาพร้อมมาตรฐาน IP67 กันน้ำได้ลึกสูงสุด 1 เมตร แต่ไม่สามารถใช้งานใต้น้ำได้
8. ตัดช่องหูฟังทิ้ง
อาจไม่ค่อยมีใครพูดถึงนักกับช่องหูฟัง แต่ในรุ่น Mate 10 Pro และ Mate 10 Porsche Design ถูกตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ทิ้งไปเรียบร้อย จะเหลือเพียงในรุ่น Mate 10 เท่านั้น
9. แบตเตอรี่อึดขึ้น และ Super Charge
Mate 10 ทั้งสามรุ่น ใช้แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh อึดขึ้นกว่า Mate 9 ถึง 30% ซึ่ง Huawei เคลมว่าสามารถอยู่ได้นาน 1 วัน สำหรับการใช้งานหนักๆ และอยู่ได้ 2 วัน สำหรับการใช้งานปกติ นอกจากนี้ระบบ Super Charge ยังสามารถชาร์จ 30 นาที ได้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 58% เร็วกว่าชาร์จไร้สายถึง 4 เท่า และเร็วกว่า iPhone 8 Plus ถึง 50%
10. PC Mode
เทรนด์ใหม่สำหรับสมาร์ทโฟน Android ระดับเรือธงยุคนี้ คือการเชื่อมต่อกับจอเพื่อใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยใน Mate 10 ทั้งสามรุ่น ไม่ต้องใช้ dock หรืออุปกรณ์เสริมใดๆ เพียงใช้ USB Type-C ต่อเข้ากับจอเท่านั้น นอกจากนี้ตัวเครื่อง Mate 10 ยังทำหน้าที่เป็นเมาส์ ใช้เชื่อมต่อคีย์บอร์ดและเมาส์ไร้สายผ่านบลูทูธได้อีกด้วย
สำหรับข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
- Huawei Mate 10 มีด้วยกัน 4 สี ได้แก่ Black, Mocha Brown, Champagne Gold, Pink Gold, ราคา 699 ยูโร หรือประมาณ 27,000 บาท
- Huawei Mate10 Pro มีด้วย 4 สี ได้แก่ Tiranium Grey, Midnight Blue, Mocha Brown และ Pink Gold, ราคา 799 ยูโร หรือประมาณ 30,700 บาท
- Huawei Mate 10 Porsche Design มีสีเดียว คือ Black, ราคา 1,395 ยูโร หรือประมาณ 53,600 บาท
- เริ่มวางขายเดือนพฤศจิกายน
- ประเทศไทย เป็นกลุ่มประเทศแรกที่จะได้วางขาย Huawei Mate10 Pro และ Huawei Mate 10 Porsche Design