รีวิว iPhone X มือถือที่สาวกเฝ้ารอคอย กับเทคโนโลยีที่สุดของ Apple ในปีนี้
สำหรับคนที่รอดูว่า Sanook! Hitech จะมีรีวิว iPhone X รุ่นใหม่ล่าสุดไหม และ iPhone X จะดีจริงหรือ น่าใช้ไหมกับราคานี้ เอาล่ะ ไม่ต้องรอให้เสียเวลา รีวิว iPhone X มาแล้ว ลุยอ่านกันเลยดีกว่า
รายละเอียดของ iPhone X
- ขนาดเครื่อง : 143.6 x 70.9 x 7.7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 174 กรัม
- สีของเครื่อง : ดำ Space Gray, เงิน Sliver
- CPU : Apple A11 Bionic (6 แกนสมอง)
- GPU : Apple GPU
- RAM : 3GB
- ความจำในตัว : 64/256GB
- ความจำภายนอก -
- การเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ 2G/3G/4G Cat 12 600Mbps/150 Mbps
- หน้าจอ : 5.8 นิ้ว OLED ความละเอียด 2436x1125
- กล้องหน้า : 13 ล้านพิกเซล F2.0 + ระบบกันสั่น
- กล้องหลัง : 12 ล้านพิกเซล เลนส์คู่ (F1.8 / F2.4) พร้อม Auto Focus, LED Flash แบบ Quad LED และมี OIS ทั้ง 2 แกน
- ระบบปฏิบัติการ iOS11
- แบตเตอรี่ 2716 mAh
รูปร่าง
ต้องพูดเลยว่า iPhone X เป็นมือถือในตระกูล iPhone ที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดอีกรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะด้านหน้ามีขนาดหน้าจอขนาด 5.8 นิ้วแบบ OLED ที่มอง ๆ ไปแล้ว ก็สวยและให้สีที่ดีใช้ได้ การทำงานของหน้าจอถือว่ารวดเร็ว
ด้านบนมีหน้าจอล้อมรอบกล้องและส่วนหูฟัง จนผมจะเรียกมันว่า “ติ่ง”
ด้านล่างไม่มีปุ่มกด ใช้การสไลด์หน้าจอเอา
ด้านข้างใช้วัสดุโครเมียม ที่ดูเงางาม รอบตัวเครื่อง ทำให้ดูสวย แต่ก็ถ่ายภาพยากไปในตัว ฝั่งซ้ายมีปุ่มเปิดเปิดเสียงหรือตั้งค่าไม่ให้หน้าจอหมุน พร้อมปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านข้างขวามีปุ่ม เปิด/ปิดเครื่อง และถาดใส่ซิม
ด้านบนไม่มีอะไร
ด้านล่างมีไมโครโฟน, Lightning, ลำโพงตัวเครื่อง
ด้านหลังออกแบบค่อนข้างดีเพราะใช้วัสดุเป็นกระจกพร้อมกับกล้องหลังคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลพร้อมกับ LED Flash 4 ดวง
ภาพรวมหลังจากที่สัมผัส iPhone X มานั้นตัวเครื่องเบากว่า iPhone 8 Plus ที่จับมาก่อนหน้านี้พอสมควร และเบากว่าคู่แข่งบางรุ่น แถมวัสดุออกแบบดีและดูแพง แต่ว่าก็มีข้อเสียคือ วัสดุเป็นเงาและมันวาว ทำให้ลื่นและจับไม่ค่อยจะอยู่มือเท่าไหร่
ประสิทธิภาพของ iPhone X
ครั้งนี้เป็นสัมผัสแรกที่จะมีคะแนน Benchmark สำหรับ iPhone X ทำได้ที่คะแนน 202680 คะแนนถือว่าเร็วมาก และความลื่นไหลของเครื่องนั้นถือว่าก็ดี และเท่า ๆ กับ iPhone 8 Plus ไม่มีผิด แต่เนื่องจากไม่ได้ลองเล่นเกมเลยไม่ขอพูดเรื่องประมวลกราฟฟิก แต่ว่า ในเรื่องของความร้อน ใช้นานก็เกิดขึ้นเร็วเหมือนกันนะ
ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 2716 mAh แม้ว่าจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็อึดใช้ได้ เพราะครั้งนี้แบตเตอรี่มีเพียงแค่ 69% แต่ใช้ถ่ายภาพ ทดลองฟังก์ชั่นของเครื่องและถ่ายภาพรวมไปถึงการโอนข้อมูลผ่าน Bluetooth ทั้งหมด 3 ชั่วโมง แบตเตอรี่เหลือ 42%
คุณสมบัติที่ควรลอง
ในส่วนนี้คงพูดถึงเรื่องของ iOS11 ก่อนแม้ว่าระบบปฏิบัติการจะเหมือนกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus แต่ความแตกต่างของ iPhone X อยู่ที่ 3 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่
- การเข้าหน้า Home จะต้องปัดขึ้น ไม่มีปุ่ม Home อีกต่อไป
- การเลื่อน Notification ต้องปัดลงจากด้านซ้ายที่อยู่ของนาฬิกา และ Control Center ต้องปัดบนขวาที่อยู่ของการบอกคลื่นสัญญาณและการเชื่อมต่อ
- Face ID เป็นความปลอดภัยใหม่และความปลอดภัยเดียวที่มีใน iPhone X
- Animoji สร้างภาพ Animation ที่บอกอารมณ์และส่งให้เพื่อนคุณได้เลย
หลักการทำงานของ Face ID จะแตกต่างกันแค่การสแกนใบหน้าที่มันจะจับหน้าเราแบบรอบทิศ โดยเราต้องโยกหน้าตามกล้องที่กำหนด ถึงจะสามารถสร้างรหัสได้
และเมื่อลองใช้งานพบว่าหากเราหลับตาจะไม่สามารถปลดล็อกได้ แต่ว่าถ้าอยู่ในที่มืดจะทำงานได้หรือไม่ คงยังไม่มีใครรู้ แต่จากที่ Apple ได้นำเสนอนั้นไม่ว่าคุณจะใส่แว่น เปลี่ยนแว่น หรือใส่เสื้อกันหนาวที่หนาเพียงใด ก็สามารถปลดล็อกได้ ใครซื้อเครื่องมาแล้วลอง ได้ผลยังไงก็ Comment คุยกันได้นะครับ
ส่วนที่เหลือที่ต่างกันจริง ๆ คงจะเป็นเรื่องของกล้องหน้าและหลัง ขอเริ่มจากกล้องหลังก่อน ด้วยขนาด 12 ล้านพิกเซลพร้อมกับรูรับแสง F1.8 และ F2.4 ที่เรียกได้ว่า รูรับแสงน้อยกว่ารุ่นเดิม และมีลูกเล่นคือ Portrait Mode สามารถเลือกได้เหมือนกับ iPhone 8 Plus แต่การเก็บรายละเอียดของกล้องทำได้ดีกว่าพอสมควร
ส่วนวีดีโอถ่ายได้แบบ 4K 60 FPS เช่นเคย แต่ระบบกันสั่นที่มีให้ทั้ง 2 แกน (Wide และ Tele) นั้นให้ประสิทธิภาพดี แต่เมื่อเดินถือแล้วถ่ายจริง ยังพบว่าก็ยังมีอาการสั่นให้เห็นอยู่ดี
และกล้องหน้านั้นความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ไม่มี Beauty Mode มาให้เช่นเคย แต่ที่น่าสนใจกว่าเดิมคือ Portrait Mode ก็มีมาให้แล้วในกล้องรุ่นนี้ เกิดจากการทำงานร่วมกับเซนเซอร์ของกล้องที่ใช้ Face ID ทำให้มีฟังก์ชั่นนี้ นั่นเอง แต่ภาพที่ออกมานั้นทำได้ค่อนข้างดีแต่ยังไม่ใสเท่าไหร่
สรุปหลังลอง iPhone X
แม้เป็นการลองสั้น ๆ เพียงแค่ 3 ชั่วโมง แต่ก็ได้อะไรที่น่าประทับใจเยอะมากสำหรับมือถือรุ่นนี้เพราะคุณจะเพลิดเพลิน ในรูปร่างและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ มีทั้งชอบและไม่ชอบอยู่เยอะ ถ้าเอาเรื่องชอบ ๆ คงจะเป็นกล้องและระบบชาร์จไฟรวมถึงความทนของแบตเตอรี่ที่ดีกว่า iPhone 7 Plus ชัดเจน
แต่ว่า ถ้าพูดถึงเรื่องไม่ชอบนั้นคงจะมีทั้งเรื่องของ
- Face ID ที่ยอมรับว่า การปลดล็อกแม้จะเร็ว แต่การทำงานในสภาพแสงที่แตกต่างกัน ผมยังไม่ได้ไว้ใจมันมากขนาดนั้น
- หน้าจอที่พยายามทำตัวให้ไร้กรอบแต่ก็มีติ่งที่น่ารำคาญในเวลาดูวีดีโออยู่
- และตัวเครื่องที่ลื่นเนื่องจากวัสดุที่มันวาว เท่นั้นเอง
และสุดท้ายคือราคา หากคุณรีบร้อนก็สามารถซื้อเครื่องหิ้วในราคา 50,000 – 65,000 บาท แต่ถ้าไม่รีบแล้ว ศูนย์ไทยก็ขายในราคา 40,500 บาท สำหรับ 64GB และ 46,500 บาทสำหรับ 256GB และมีให้เลือก 2 สีคือ ดำ Space Gray และ เงิน ก็ลองเลือกและตัดสินใจดูว่า จะไปทางไหนและเลือกตัวไหน เพราะทุกการตัดสินใจมีผลกับเรื่องการจ่ายเงินอยู่ดีครับ
อัลบั้มภาพ 36 ภาพ