วิเคราะห์บริการ Apple Music ก่อนเปิดตัว 30 มิถุนายน 2015
หลังจากที่ Apple Music เปิดตัวครั้งแรกที่งาน WWDC 2015 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา
หลังจากนั้นในแต่ละวันต้องมีเรื่องราวของบริการนี้ในพื้นที่ข่าว
เรามาวิเคราะห์กันถึงบริการล่าสุดจาก Apple กันครับ
ว่ามีที่มา มีความน่าสนใจ และจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างไรได้บ้าง
ลักษณะธุรกิจของ Music Streaming
แต่เดิมนั้นเรารู้จัการดาวน์โหลดเพลงแบบขายขาด
ซึ่งจ่ายครั้งเดียวคุณได้กรรมสิทธิ์ในการครอบครองเพลง
สามารถทำซ้ำเพื่อไปฟังเครื่องอื่นได้ตราบใดที่คุณฟังส่วนตัว
แต่บริการ Music Streaming นั้น จะเป็นการบอกรับสมาชิกรายเดือน หรือ Subscription
โดยจะไปตัดค่าใช้จ่ายจากการเรียกเก็บผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ หรือว่าผูกกับบัตรเครดิต
ซึ่งถ้าไม่จ่ายในเดือนถัดไปสิทธิ์ในการฟังจะถูกตัดทันที
ส่วน Freemium คือบริการแบบแบบที่มีโฆษณาคั่นระหว่างการฟัง
ซึ่ง Apple Music เลือกรูปแบบลักษณะธุรกิจแบบตัวแรกครับ
แต่การใช้บริการ Streaming จะมีการใช้ Data ของโทรศัพท์เล็กน้อย
เพื่อทำการยืนยืนยันถึงสิทธิ์ในการเข้าถึงเพลงที่เก็บไว้ในเครื่อง
คุณสมบัติน่าใช้ของ Apple Music
Apple แม้ว่า่จะเคยมีบาดแผลจากการพยายามทำ Social Media สำหรับผู้ฟัง
แต่ดูเหมือนครั้งนี้ Apple จะทำการบ้านมาให้ Apple Music ด้วยการใส่ 'Connect'
เพื่อให้ศิลปินมีช่องทางเข้ามาโพสต์ข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ
เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้ามาดู และส่งต่อไปยัง Social Media อื่นๆ เช่น Facebook หรือ Twitter
เหมือนการดึงอำนาจจากสื่อเดิมมาอยู่บนอุปกรณ์ไอทีส่วนตัว
Apple Music มีระบบแนะนำเพลง ซึ่งถ้าใครเคยใช้บริการอย่างพวก Last FM คงจะนึกภาพออก
ความน่าจะเป็นของการพิจารณาน่าจะมาจาก ถ้าเราขุดเข้าไปในประวัติศาสตร์ของช่วงปีที่ออกเพลง
แนวเพลง ความเร็วของเพลง ลักษณะการค้นต่อเนื่อง นั่นก็พอที่จะจัดเพลงแนะนำให้ได้
Beats กลายเป็นชื่อที่ทรงอิทธิพลทั้งในวงการ Gadget และดนตรีไปแล้ว โดย Apple Music กล่าวว่า
Beats 1 จะเป็นสถานีที่ออกอากาศ 24 ชม. ทุกวันจากสตูดิโอของในลอสแอนเจลิส นิวยอร์ก และลอนดอน
ไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนั่นก็ต้องสู้กับพฤติกรรมการฟังเพลงของคน Generation ใหม่
ที่มักจะเลือกฟังจาก Playlist มากกว่าการนั่งฟังผู้จัด
BitRateของ Apple Music
มีรายงานว่า Apple Music จะสตรีมเพลงที่ 256 kbps ขณะที่คู่แข่งรายอื่นจะอยู่ที่ 320 kbps ขึ้นไป
ไม่นับ Tidal นะครับ นั่นพุ่งไปไกลแล้ว เพราะรายนั้นมีการสมัครสมาชิกแบบไฮเอนด์
โดยมีการจับมือกับผู้ผลิตเครื่องเสียงระดับ Audiophile ที่ก้าวเท้ามาในโลกของไอทีด้วยระบบ Streaming ชั้นสูงเช่นเดียวกัน
ราคาค่าบริการของ Apple Music ในไทยโดยประมาณ
Apple Music นั้นสนนราคาค่าบริการในอเมริกาอยู่ที่ $ 9.99 ต่อเดือน
หรือ ถ้าคิดแบบราคาครอบครัวจะอยู่ที่ $ 14.99 ต่อเดือนที่สามารถใช้งานได้ถึงหกคน
ส่วนอัตราค่าใช้บริการกับผู้ใช้ในประเทศไทยนั้น ก็มีข่าวที่หลุดออกมาแล้วว่าอยู่ที่ 170 บาท
อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขนี้ได้นะครับ แต่ถ้าออกมาราคานี้แล้วล่ะก็ ถือว่าฟัดเหวี่ยงกับ Tidal ได้เลยทีเดียว
แต่ถ้ามองเทียบกับราคาตลาดซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าผู้ให้บริการ Music Streaming
ที่ทำตลาดในไทยอย่างจริงจัง Deezer หรือว่า KKBox เล็กน้อย
ส่วน Line Music นั้นเรียกว่าเปิดตัวมาในช่วงเวลาที่หินเลยทีเดียว ถึงแม้จะเก็บค่าบริการที่ถูกกันกว่าเกินครึ่งเลยก็เถอะ
อัตราส่วนแบ่งของ Apple Music กับศิลปิน
วงการ Streaming Music นั่นโดนค่อนแคะอยู่ในเรื่องของส่วนแบ่งรายได้ที่ดูจะต่ำเตี้ยเรี่ยราดเสียเหลือเกิน
อย่างกรณี Taylor Swift ที่มีกับ Spotify ก็คือตกลงกันไม่ได้ในเรื่องส่วนแบ่ง
แม้ว่าทาง Spotify จะกางรายได้ออกมาว่า เธอได้รับส่วนแบ่งไปแล้วหลายล้านดอลล่าร์แล้วก็ตาม
Apple Music มีการประกาศออกมาว่า จะแบ่งรายได้อยู่ที่ 71.5 % สำหรับตลาดอเมริกา
และ 73% สำหรับสำหรับตลาดนอกอเมริกา แต่ส่วนแบ่งจะไปถึงศิลปินหรือคนทำงานเบื้องหลังอย่างไรบ้าง
นั่นอยู่ที่การเซ็นต์สัญญาของค่ายเพลงครับ
อุปสรรคทางการตลาดของ ของ Apple Music ในตลาด Music Streaming
แน่นนอนว่าถ้า Apple ไม่ทำ Streaming ก็จะพบกับตัวเลขของ itunes ที่ถดถอยลงไป
แล้วกลายไปเพิ่มยอดให้กับผู้ให้บริการ Music Streaming รายอื่น
ซึ่ง Apple เองก็เห็นตัวเลขที่ปักหัวลงมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
แต่แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ศิลปินเพลงทุกคนที่จะยอมรับได้ในส่วนแบ่ง
ที่พวกเขายังคิดว่าน้อยไปเมื่อเทียบกับการขายแผ่น
ศิลปินที่ฎิเสธช่องทางดิจิทัลทั้งหมดก็มีครับ เช่น Prince
และอย่างที่ผมบอกไว้ในย่อหน้าก่อน
การที่ Apple Music จะสตรีมเพลงที่ความละเอียดต่ำกว่าคู่แข่ง
การกลับขึ้นไปเจาะตลาดไฮเอนด์ที่ยอดปิรามิดมันคงไม่ง่าย
เพราะฐานที่มั่นตรงนั้น Deezer และ Tidal ขึ้นไปจองที่มั่นไว้เรียบร้อย
รวมถึงการจับมือกับผู้ผลิตเครื่องเสียงไฮเอนด์อีก
คือมีซิสเต็มของนักเล่นระดับหูทองหลายคน เขาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple เป็นตัวเปิดเพลงนะครับ
และอุปสรรคของ Apple Music อีกอย่างหนึ่งคือการทำตลาดเพลงเฉพาะภูมิภาค
ลองเปรียบเทียบกันก่อนง่ายๆ ว่า Deezer มีเพลงเอเชียดีเท่า KKBox มั้ย คำตอบคือ 'ไม่'
บทส่งท้ายก่อนเปิดตัว Apple Music
“It’ll change the way you experience music forever”
Tim Cook กล่าวไว้แบบนั้น ซึ่งแสดงออกความมั่นใจที่มีต่อของผลิตภัณฑ์ตัวนีั
แรงกระเพื่อมของ Apple Music นั้นจะเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงของผู้คนบนโลก
เหมือนครั้งที่ส่ง iPod มาสยบตำนาน Walkman และอารยธรรม Sony ให้เหลือพื้นที่เพียงแค่ปลายก้อยได้หรือไม่
เรารู้ว่ากงล้อของประวัติศาสตร์ มันมักมีไว้ทับรอยเดิมอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้เราก็ไม่อาจจะคาดเดาได้จริงๆ
เพราะถ้าเปรียบผู้ให้บริการรายอื่นเป็นปลาในบ่อเดียวกัน ฝูงปลารายย่อยเหล่านั้นคงรอรับน้องอยู่แน่ๆ
หลังวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เราคงได้รู้กันครับ แล้วเราจะกลับมาพูดเรื่องนี้กันอีกครั้งหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ระหว่างนี้ก็เข้าไปดูรายละเอียดส่วนที่เหลือเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องกันที่ http://www.apple.com/th/music/
อยากคุยเรื่องไหนกับผม ทักมาได้ครับที่
Twitter : http://www.twitter.com/jetboat26
Facebook : http://www.facebook.com/trendy2mobi dom whois .