รีวิว DJI Mavic Air โดรนขนาดเล็กที่บินง่าย บินนาน และภาพสวยมากขึ้น
หลังจากที่มีการเปิดตัว DJI Mavic Air อย่างเป็นทางการในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ สำหรับคนที่ชอบ Gadget ทั่วไปคงให้ความสนใจอย่างมาก แต่สำหรับคนทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร วันนี้ทีม Sanook! Hitech ได้โดรนรุ่นนี้มารีวิวให้ได้ดูกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง มาดุกันดีกว่า
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่องและการออกแบบดีไซน์ของ DJI Mavic Air
ด้านหน้าของ DJI Mavic Pro มีกล้องหน้า ขนาด 12 ล้านพิกเซล ที่สามารถปรับได้ นอกจากนี้ยังมีเซนเซอร์ด้านหน้า ป้องกันการชน
ด้านข้าง สามารถแยกได้ 2 โหมดคือเก็บปีก และ เปิดปีก ทั้ง 2 ช้างจะมีปุ่มสำหรับผลักแบตเตอรี่ออกและฝั่งหนึ่งจะมีข้อมูลของ User, Password WiFi Direct
ด้านบนมีช่องระบายอากาศ สีของตัวเครื่องที่มีทั้งสีขาว, ดำ และ แดง พร้อมกับใบพัดที่สามารถใส่ Bumper ได้แต่ต้องเอออกระวังหน่อย
ด้านล่างมีที่อยู่ของแบตเตอรี่ สามารถถอดได้เพื่อชาร์จไฟ นอกจากนี้ที่ขาของโดรนมีสัญญาณไฟ และเซนเซอร์ป้องกันการชน
ด้านหลัง มีเซนเซอร์พร้อมกับไฟสถานะบอกว่าพร้อมบินหรือไม่ และมีช่องสำหรับเปิดช่องเสียบ USB-C และช่องใส่ Micro SD
ที่รีโมทนั้นสามารถถอดใส่ปุ่ม หรือมือถือพร้อมกับมีชาร์จไฟเครื่องได้ นอกจากนี้ยังปรับได้ให้สามารถใส่กับ iPhone 6 / 7 8 Plus ได้สบาย พร้อมกับปุ่มสั่งถ่ายภาพ, ปุ่มปรับองศากล้องขึ้นลง และ Sport Mode ให้เลือกใช้งานด้วย ทั้งหมดสามารถพับเก็บแบบง่ายและดูดีเลย
เปิดเครื่องใช้งาน DJI Mavic Air พร้อมการทดสอบฟังก์ชันต่างๆ
การเปิดโดรนรุ่นนี้จะต้องกดจากด้านล่างของตัวเครื่อง แต่ถ้าไม่กางปีกทั้งหมดก็จะเปิดไม่ได้นะครับ เมื่อเปิดมาแล้วก็จะมีเสียงและไฟที่ด้านหลัง
และตัวโดรนรุ่นนี้ มีระบบช่วยบิน FlightAutonomy 2.0 สามารถถอยและ และหลีกสิ่งกีดขวาง และเพิ่มความละเอียด ทำงานคู่กับ กล้อง 7 ตัวรอบทิศ และจับคนว่าอยู่ระแวกนั้นหรือไม่ พร้อมกับ APAS ระบบช่วยเหลือในการบินคำนวณความสูง ทำให้บินได้ง่ายผ่านการควบคุมด้วยรีโมท และ Application พร้อมกับฟีเจอร์ สั่งงานด้วยท่าทางหรือ Gesture ที่สามารถใช้งานได้ดังนี้
- ใช้มือเดียวโบกเลี้ยวซ้ายขวาขึ้นลง เพื่อบังคับทิศทาง
- กางมือสุดแขน ผลักไปข้าง ๆ เพื่อให้โดรนห่างออก หรือ กางแขนสุดแล้วเอามือข้ามาชิด เพื่อให้โดรนมาใกล้
- ชู 2 นิ้วเพื่อถ่ายภาพ
- ทำเป็นกรอบภาพ เพื่อถ่ายวิดีโอ
- ใช้มือเดียวลากลงจนขึ้นไฟแดง จะเป็นการ Landing (ทำตรงข้ามเป็นการ Take Off)
นอกจากนี้ในโปรแกรมควบคุมผ่าน Application DJI Go 4 สามารถนอกจากควบคุมด้วยท่าทางแล้วยังมีการติดตามคนที่ไม่ต้องกดถ่ายวิดีโอก็ได้เช่นเดียวกัน รีโมท สามารถใส่มือถืออย่าง iPhone, Samsung, hTC, Sony และอื่น ๆ ได้ แต่สำหรับ iPhone X ที่เห็นอยู่นี้ จะเกิดปัญหาที่มีการบังเซนเซอร์วัดแสง และส่วนล่างสุดที่ปัดเพื่อกลับหน้าแรก แต่สำหรับมือถืออื่น ๆ ที่จอมีพื้นที่ จะไม่มีปัญหา
ในส่วนของกล้องถ่ายภาพขนาด 12 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพออกมาคมและดูดี นอกจากนี้ยังได้ในเรื่องของการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K แบบ 30FPS และรูปแบบการถ่ายภาพแบบ QuickCapture รวมไปถึงการถ่ายภาพแบบ Boomerang ได้เช่นกัน พร้อมกันสั่นแบบ 3 แกนระดับนิ่งมาก และใช้ Gesture ถ่ายภาพได้ และปรับวิดีโอได้หลากหลายแบบ
ความจำในตัวมีให้เลือกทั้งภายในตัว 8GB แต่ว่าถ้าไม่พอแล้วสามารถเพิ่มความจำผ่าน Micro SD และสามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ด้วย
(ตัวอย่างภาพถ่ายจาก DJI Mavic Air)
สรุปผลหลังทางทีมงาน Sanook! Hitech ได้ทดสอบและลองเล่น DJI Mavic Air มาสักระยะ
เป็นอีก Gadget ที่หลายคนบอกว่าไกลตัวไป แต่สำหรับคนที่อยากได้ภาพสวยๆ และมุมแปลกๆ นี่ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ และอัปเกรดจากรุ่น Spark ที่ลำเล็กราคาถูก ให้บินได้นานมากขึ้นและความสามารถที่เรียกได้ว่าเด็ด!!! ทั้งเรื่องการควบคุมและประสิทธิภาพต่างๆ มาแบบครบครัน
กับราคาของเครื่องรุ่นนี้เริ่มต้นที่ 30,000 บาท สำหรับ Set เริ่มต้นและ Combo ในราคา เกือบ 4 หมื่นบาท ถือว่าน่าสนใจและเป็นอีกทางเลือกที่น่าลองสำหรับหลายๆ คนเช่นกัน ฉะนั้นแล้ว ใครที่มีเงินเหลือหรืออยากได้โดรนที่พร้อมใช้งาน DJI Mavic Air เป็นตัวเลือกที่ดี
ใครที่ซื้อแล้วอย่าลืมไปลงทะเบียนโดรนกับ กสทช. นะครับ เดี๋ยวจะไม่ถูกต้องและบินไม่ได้นะครับ
สรุปจุดเด่นของ DJI Mavic Air
- บินง่าย ตัวช่วยเยอะ และมีรีโมท มาให้
- ขนาดพกพาสะดวกและใช้งานง่าย
- มีความจำในตัวแล้วไม่ต้องพึ่งการ์ดก็ได้
- มีหลายสีให้เลือก
- แม้ราคาเริ่มต้นที่ 3 หมื่นบาท แต่ก็ให้ของมาครบ
- Application เสถียร และน่าใช้
สรุปจุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมหากต้องการซื้อหามาใช้งาน
- ยังรู้สึกเป็น Gadget เฉพาะกลุ่ม
- Set Combo ราคาค่อนข้างสูง
- สายเชื่อมต่อ Smart Phone ไม่รองรับ USB-C