เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S9 / S9+ vs iPhone X สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุด

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S9 / S9+ vs iPhone X สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุด

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S9 / S9+ vs iPhone X สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S9 / S9+ vs iPhone X สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุด รุ่นไหนมีจุดเด่นอย่างไร ไปดูกัน!

เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy S9 และ S9+ สองสมาร์ทโฟนเรือธงในตระกูล Galaxy S-Series รุ่นล่าสุด ซึ่งในปีนี้ยังคงมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านหน้าจอแสดงผลแบบไร้กรอบ ไร้ปุ่มโฮม แบบ Infinity Display อยู่เช่นเดิม แต่ยกเครื่องสเปกภายในใหม่หมดจด ไม่ว่าจะเป็น ตัวเครื่องที่แรงขึ้นด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่ Exynos 9810 พร้อมต่อยอดความบันเทิงด้วยลำโพงคู่ Stero Speaker และชูโรงด้านการถ่ายรูป ด้วยกล้องหลังแบบ Dual Pixel ที่สามารถสลับรูรับแสงจากตัวเลนส์แท้ๆ เพื่อตอบโจทย์การถ่ายภาพทั้งกลางวัน และกลางคืน

และหากพูดถึงหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น iPhone X มือถือตัวท็อปจาก Apple ที่มีฟีเจอร์จัดเต็มไม่แพ้กัน ทั้งหน้าจอไร้ขอบ, ระบบสแกนใบหน้า Face ID, กล้องหลังคู่ รวมไปถึงความเร็วแรงของชิปเซ็ต Apple A11 Bionic ที่ติดตั้งอยู่ภายในนั่นเอง ซึ่งภายในวันนี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้นำทั้งสองรุ่นมาเปรียบเทียบในเรื่องของคุณสมบัติเพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกท่านได้รับชมกัน ไปติดตามกันได้เลยครับ

2018225_71797

เปรียบเทียบดีไซน์ และหน้าจอแสดงผล ระหว่าง Samsung Galaxy S9 / S9+ และ iPhone X ต่างกันอย่างไร

1

สำหรับ Samsung Galaxy S9 และ S9+ ในปีนี้ ทั้งสองรุ่นยังคงเลือกใช้งานดีไซน์หน้าจอแบบ Infinity Display ซึ่งเป็นหน้าจอไร้กรอบ ไร้ปุ่มโฮม หลังจากที่ริเริ่มนำมาใช้งานบนรุ่น Galaxy S8 เป็นครั้งแรก โดยแผงหน้าจอภายในเป็นเทคโนโลยีแบบ Super AMOLED ความละเอียดคมชัดระดับ 2K QHD+ ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของสีสันที่มีความจัดจ้าน, สีดำที่แสดงผลได้ดำสนิท รวมไปถึงการใช้พลังงานที่ค่อนข้างน้อย โดยในรุ่น S9 มาพร้อมกับขนาดจอที่ 5.8 นิ้ว ส่วนรุ่น S9+ มาพร้อมกับขนาดจอไซส์ใหญ่ถึง 6.2 นิ้ว โดยตัวเครื่องของทั้งสองรุ่นยังรองรับคุณสมบัติกันน้ำระดับ IP68 สามารถกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลานานสูงสุด 30 นาที

ส่วนทางด้าน iPhone X มาพร้อมกับดีไซน์หน้าจอแบบชิดขอบ ขนาด 5.8 นิ้วเท่ากับ Galaxy S8 แต่มีความแตกต่างในเรื่องของเทคโนโลยีหน้าจอ โดยเลือกใช้แผงหน้าจอแบบ OLED (หรือที่ทาง Apple เรียกว่า Super Retina Display) ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของการแสดงสีสันได้อย่างเที่ยงตรง และสวยงาม, การแสดงสีดำได้ดำสนิท รวมไปถึงการยกฟีเจอร์ True Tone Display จาก iPad Pro มาใช้งานด้วย ทำให้สามารถปรับระดับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมได้แบบอัตโนมัติ พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 สามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที

 ชิปเซ็ตประมวลผล, RAM และ ROM ของ Samsung Galaxy S9 / S9+ และ iPhone X ต่างกันอย่างไร

2

ส่วนในเรื่องของสเปกนั้น ทาง Samsung ได้มีการนำชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 9810 มาติดตั้งลงบน Galaxy S9 และ S9+ ด้วย โดยเป็นชิปเซ็ตแบบ 8 แกนประมวลผล ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 10 นาโนเมตร พร้อมรองรับ LTE Cat18 สามารถทำความเร็วดาวน์โหลดได้สูงสุด 1.2Gbps ส่วนทางทางด้านหน่วยความจำแรม (RAM) อัปเกรดขึ้้นเป็นขนาด 6GB เฉพาะรุ่น S9+ ส่วนรุ่น S9 มาพร้อมกับหน่วยความจำ (RAM) ขนาด 4GB พร้อมหน่วยความจำภายในความจุเริ่มต้นที่ 64GB โดยในรุ่น S9+ จะมีหน่วยความจำภายในให้เลือกถึง 3 ความจุ ได้แก่ 64GB, 128GB และ 256GB ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมได้อีกถึง 400GB เลยทีเดียว

3

ในขณะที่ iPhone X ขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิปเซ็ตประมวลผล Apple A11 Bionic ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 10 นาโนเมตร พร้อมหน่วยประมวลผลแบบ 6 แกน แต่มีระบบ Neural Engine เพื่อช่วยประมวลงานปัญญาประดิษฐ์ หรือ A.I. โดยเฉพาะ ซึ่งจะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB และหน่วยความจำภายในความจุให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ 64GB และ 256GB แต่ผู้ใช้ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้

 กล้องดิจิทัลของ Samsung Galaxy S9 / S9+ และ iPhone X ต่างกันอย่างไร

4

สำหรับ Samsung Galaxy S9 มีการยกเครื่องกล้องถ่ายภาพใหม่ ด้วยการหันไปใช้งานเซ็นเซอร์รับภาพ Super Speed Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นแบบ OIS ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของการจับภาพโฟกัสที่ฉับไว พร้อมทั้งยังรองรับการถ่ายภาพวิดีโอแบบ Super Slow-Mo ได้ที่ระดับ 960fps ด้วย รวมทั้ง ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Dual Aperture ที่จะเป็นการสลับรูรับแสงได้จากตัวเลนส์แท้ๆ ระหว่าง f/1.5 และ f/2.4 เพื่อตอบโจทย์การถ่ายภาพทั้งในสภาวะแสงทั่วไป และสภาวะแสงน้อย โดยตัวระบบจะคอยสลับรูรับแสงให้เหาะสมแต่ละสถานการณ์แบบอัตโนมัติ

5

ส่วนในรุ่น S9+ มาพร้อมกับระบบกล้องคู่ Dual-Camera เลนส์ Wide + เลนส์ Telephoto เป็นครั้งแรกของตระกูล Galaxy S-Series โดยกล้องตัวหลักจะเป็นตัวเดียวกับที่ใช้บน S9 ส่วนกล้องตัวที่สองเป็นแบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual OIS (ติดตั้งระบบ OIS มาให้ทั้งสองกล้อง) รองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ แบบ Live Focus และการถ่ายภาพแบบ Dual Capture ซึ่งจะเป็นการเก็บภาพจากทั้งกล้องเลนส์ Wide และเลนส์ Telephoto ภายในช็อตเดียว ส่วนกล้องหน้ามาพร้อมกับความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างขนาด f/1.7 ซึ่งสามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Selective Focus ได้

6

ขณะที่ iPhone X มาพร้อมกับระบบกล้องคู่เลนส์ Wide + Telephoto เช่นเดียวกัน โดยมีความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซลเท่ากันทั้งสองตัว โดยกล้องตัวแรกมีขนาดรูรับแสงอยู่ที่ f/1.8 ส่วนกล้องตัวที่สองมีขนาดรูรับแสงอยู่ที่ f/2.4 พร้อมรองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait และการจัดแสงให้แก่ตัวแบบผ่านฟีเจอร์ Portrait Lighting ส่วนทางด้านกล้องหน้าของ iPhone X จะเป็นแบบ TrueDepth ที่สามารถวัดระยะชัดตื้นระหว่างตัวแบบกับฉากหลังได้ ส่งผลให้สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้เหมือนกับกล้องหลังนั่นเอง นอกจากนี้ ยังรองรับการจัดแสงผ่านฟีเจอร์ Portrait Lighting ได้เหมือนกล้องหลังด้วย

 เปรียบเทียบฟีเจอร์การใช้งานด้านอื่นๆ ระหว่าง Samsung Galaxy S9/S9+ และ iPhone X

7

ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy S9 และ S9+ คือระบบ AR Emoji ที่จะเป็นการสร้าง Avatar แบบเคลื่อนไหวผ่านการสแกนใบหน้าของผู้ใช้งาน ซึ่งเราสามารถนำไปแชร์ให้กับเพื่อนๆ ผ่านแอป Messenger ต่างๆ อย่างเช่น Facebook Messenger หรือ Whatapps เป็นต้น

8

ส่วนระบบรักษาความปลอดภัยแบบ Biometric ที่ใช้ร่างกายของเราสำหรับยืนยันตัวตนยังคงมีให้ใช้งานอยู่เช่นเดิม ทั้งระบบสแกนม่านตา Iris Scanner และระบบสแกนลายนิ้วมือ นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันเด่นอย่าง Intelligent Scan ซึ่งจะเป็นการยืนยันขณะทำธุรกรรมทางการเงินด้วยการสแกนทั้งใบหน้า และม่านตา เพื่อยกระดับความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Intelligent Scan ยังสามารถสลับระบบยืนยันตัวตนตามสภาวะแสงโดยรอบได้ด้วย ซึ่งหากแสงน้อยก็จะปรับไปใช้สแกนม่านตา เนื่องจากสามารถทำงานในสภาวะแสงน้อยได้ ส่วนหากเป็นสภาพแสงปกติ จะสลับไปใช้ระบบสแกนใบหน้าเพื่อความรวดเร็วแทน

9

ด้าน iPhone X มาพร้อมกับระบบการสร้างอีโมจิแบบเคลื่อนไหวได้เช่นเดียวกันในชื่อ Animoji ซึ่งจะใช้ระบบกล้องหน้าแบบ 3 มิติ สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้า และดวงตา พร้อมสร้างอีโมจิเลียนแบบตามการเคลื่อนไหวของเรานั่นเอง โดยผู้ใช้สามารถแชร์ Animoji ให้กับเพื่อนๆ ผ่านแอปพลิเคชัน iMessages ได้

10

ส่วนระบบยืนยันตัวตนแบบ Biometric นั้น iPhone X มีให้เลือกใช้เพียงแค่ระบบเดียวนั่นก็คือ Face ID ซึ่งจะเป็นการยืนยันตัวตนผ่านการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ รวมทั้งจะมี AI สำหรับเรียนรู้โครงหน้าของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไป ทำให้ไม่ว่าเราจะใส่หมวก, แว่นตา, แต่งหน้า หรือไว้หนวด iPhone X ก็ยังคงจำใบหน้าของเราได้นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ข้อมูลเบื้องต้นก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบให้เห็นถึงคุณสมบัติเด่นของแต่ละรุ่นเท่านั้น ซึ่งมือถือรุ่นใดจะดีกว่ากันนั้นทางทีมงานคงไม่สามารถตัดสินได้ เพราะส่วนหนึ่งต้องขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้ใช้งานด้วย ซึ่งรุ่นไหนหากลองเล่นแล้วถูกใจ ก็ถือว่าน่าจับจองเป็นเจ้าของแล้วครับ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook