รีวิว Samsung Galaxy S9+ ที่สุดของมือถือเรืองที่ครบเครื่องเรื่องถ่ายภาพที่สุดของ Samsung
ก่อนหน้านี้คุณได้เคยอ่านรีวิว Samsung Galaxy S9 กันไปก่อนหน้านี้ก็พบว่ามันมีความสามารถที่เยอะแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ครบเครื่องเท่ากับรุ่นที่จะนำเสนอต่อไปนี้อย่าง Samsung Galaxy S9+ มาดูกันว่ามันจะมีความแตกต่างอะไรบ้าง
รายละเอียดของ Samsung Galaxy S9
- ขนาดเครื่อง : 158.1 x 73.8 x 8.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 189 กรัม
- สีของเครื่อง : Blue Coral, Midnight Black และ Lilac Purple
- CPU : Exynos 9810 Octa Core 2.7 + 1.8 GHz
- GPU : Mali G72
- RAM : 6GB
- ความจำในตัว : 64/128/256GB
- ความจำภายนอก รองรับ Micro SD สูงสุด 400GB
- การเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ 2G/3G/4G Cat 18 1200/200 Mbps (ซิมคู่)
- WiFi 802.11 b/g/n/ac Dual Band
- Bluetooth V5.0
- หน้าจอ : 6.2 นิ้ว sAMOLED ความละเอียด 2960x1080 พิกเซล
- กล้องหน้า : 8 ล้านพิกเซล F1.7
- กล้องหลัง :เลนส์คู่ขนาด 12 ล้านพิกเซล ประกอบด้วยเลนส์ที่ 1 ขนาด 26 มิลลิเมตร มีรูรับแสง F1.5 – F2.4 Dual Pixel + LED Flash และเลนส์ที่ 2 ขนาด 56 มิลลิเมตร มีรูรับแสง F2.4 มี OIS ทั้งคู่
- ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
- แบตเตอรี่ 3500 mAh
รูปร่างของ Samsung Galaxy S9+
ด้าหน้าของ Samsung Galaxy S9 + เหมือนกับ Samsung Galaxy S8+ ด้วยหน้าจอมีขนาด 6.2 นิ้ว Super AMOLED พร้อมกับความละเอียด 2960x1440 รองรับมัลติทัช 10 จุด ให้สีสันที่สวยงามกำลังดี
ส่วนบนของเครื่องมีกล้องหน้าคู่ขนาด 8 ล้านพิกเซลพร้อมกับ Iris Scan ระบบเซนเซอร์ตรวจจับใบหน้า และมีลำโพงสำหรับสนทนา และใช้เป็นลำโพงตัวที่ 2
ส่วนล่างมีปุ่มกด Recent สำหรับสลับ Apps, Home รองรับแรงกดได้ และ Back กลับ
ด้านข้างมีการออกแบบให้บางลงอีกและเป็นขอบด้านไม่เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ ฝั่งซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง และ Bixby
ฝั่งขวามีปุ่มเปิดเครื่อง
ด้านบนมีช่องใส่ซิมการ์ดใบที่ 2 และ Hybrid Slot ที่สามารถใส่ได้ทั้ง Micro SD และ Nano SIM
ด้านล่างมีหูฟัง ไมโครโฟน, ช่องเสียบ USB-C และมีลำโพงให้ 1 ลูกซึ่งเป็นลูกใหญ่
ด้านหลังจะแตกต่างจากรุ่น Galaxy S9 ชัดเจน ถึงแม้ว่าตำแหน่งกล้องเหมือนกัน แต่ว่าด้วยความที่ติดตั้งเลนส์กล้องคู่แบบแนวตั้งทำให้ดูแตกต่างได้อย่างชัดเจน และมีระบบสแกนลายนิ้วมือด้านล่าง พร้อมกับ LED Flash และมีระบบ Heart Rate Sensor ด้วยเช่นกัน ฝาหลังรองรับ Wireless Charging และ NFC
ภาพรวมจากที่ได้สัมผัส ถึงแม้จะใหญ่กว่า Samsung Galaxy S9 อยู่พอสมควร แต่เนื่องจากขอบตัวเครื่องที่ไม่หนาเกินไปทำให้ตัวเครื่องรุ่น S9+ ก็ยังอยู่ในจุดที่จับได้ถนัดมือ แต่ว่า ถ้าคนมือเล็กจะมีปัญหาคือ แตะหน้าจอไม่ถึง ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องรอการแก้ไขกันต่อไป
ประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy S9+
จากที่ได้ทดสอบจากโปรแกรม Antutu ได้คะแนนออกมาที่ 243805 คะแนน ดีกว่า Galaxy S9 เล็กน้อย แต่เมื่อใช้งานจริงพบว่าไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ถ้าเล่นเกมถึงจะเห็นผลที่ชัดเจนกว่า
ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh เท่ากับ Samsung Galaxy S8+ เช่นเคย แต่เมื่อสเปคเครื่องเร็วขึ้น แต่คาดว่า CPU ยังมีการกินไฟกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ผลการทดสอบอยู่ได้ที่ 9 ชั่วโมงกว่าๆ แต่เมื่อใช้งานจริงพบว่า สามารถเอาตัวรอได้ทั้งวัน แต่ถ้าเล่นเกมเชื่อว่าหมดตอนเย็นพอดี
ส่วนฟีเจอร์เกี่ยวกับแบตเตอรี่รองรับทั้ง ระบบ Fast Charging ทั้งแบบสายและไร้สายได้ ทำให้เครื่องชาร์จไฟได้เร็วกว่าเดิม และมีระบบจัดการพลังงานให้เลือกใช้เช่นกัน
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ในภาพรวมของลูกเล่นใน Samsung Galaxy S9+ เหมือนกับ Samsung Galaxy S9 ทุกประการ เริ่มจาก
Samsung Galaxy S9+ เลือกใช้ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo รุ่นใหม่ล่าสุด และมาพร้อมกับ Samsung Experience รุ่นล่าสุดที่ทำให้หน้าตาใช้งานง่ายและดูสะอาดตา พร้อมเปลี่ยน Theme ได้
ลูกเล่นใหม่ที่น่าใช้งานใน Samsung Galaxy S9+ มีดังนี้
- มีระบบสแกนใบหน้า, Iris Scan (สแกนม่านตา )เพื่อปลดล็อคหน้าจอ
- มีระบบสแกนอัจฉริยะ (intelligent scan) ที่ทำงานได้ทั้งกลาวันและกลางคืน ฟีเจอร์นี้มันคือการสแกนใบหน้าในเวลากลางวัน และ Iris Scan ในเวลากลางคืน แต่เมื่อลองจริงๆ พบว่า ยังทำงานช้าอยู่ไม่ว่องไวเหมือนกับ iPhone แต่ก็ดีกว่าคู่แข่งในกลุ่ม Android ดัวยกัน
- ระบบสแกนลายนิ้วมือแบบใหม่ที่ไว้ตำแหน่งที่ไม่โดนกล้อง และทำงานไวกว่าเดิมหลายเท่า
- รองรับการฟีเจอร์ทั้ง Samsung Pay (จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต), Samsung Connect สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ Bluetooth 2 ชิ้นพร้อมกัน, Secure Folder เป็นต้น
- Bixby Vision เพิ่มเติมเรื่องสแกนภาษาที่คุณไม่รู้จักเอามาแปลได้, บอกชื่อสถานที่ รวมไปถึง โภชนาการของอาหารได้
ระบบเสียงของ Samsung Galax S9+ มีการปรับมาใช้ลำโพงคู่ (บน 1 ตัว และ ล่าง 1 ตัว) พร้อมกับจูนคุณภาพเสียงด้วย AKG ทำให้เสียงออกมาน่าฟังเลยและยังมีการปรับคุณภาพเสียงจาก Dolby ATMOS ที่มีทั้งแบบเรียนรู้ลักษณะการเล่นเสียงของคุณ แต่ว่าแนะนำว่า ปรับตามรูปแบบที่คุณเล่นดีกว่า นอกนั้นมี EQ และการปรับเสียงแบบเดิมก็ยังมีอยู่
แต่สำหรับคนที่คิดว่า Galaxy S9+ เสียลำโพงจะดังและหนักแน่นกว่า Galaxy S9 ปกติแล้ว ไม่จริงนะครับ เสียงดังเท่ากัน เพราะลำโพงขนาดเท่ากันทุกประการและเสียงที่ออกมาทั้งเสียบสายและลำโพงก็ดังเหมือนกัน แต่เพิ่มเติมที่ไม่ได้พูดในรีวิว Galaxy S9 คือ ใช้ Bluetooth นั้น Dolby ATMOS ก็ยังทำงานได้
นอกนั้นทั้งเครื่องมือเช่น, เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง, Samsung Note, ปฏิทิน, Samsung Health และอื่นๆ อีกมากมายก็เหมือนกับมือถือ Samsung ทั่วไป
กล้องหลังของ Samsung Galaxy S9+ มีกล้องทั้งหมด 2 ตัวทั้งคู่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลแตกต่างกันที่กล้องตัวแรก พร้อมกับปรับรูรับแสงได้ระหว่าง F1.5 และ F2.4
และกล้องหลังตัวที่ 2 ที่นอกจากทำให้ซูมภาพแบบ Optical Zoom ได้ 2 เท่าแล้ว ยังเพิ่มลูกเล่นทั้ง Dual Capture ถ่ายภาพได้ 2 ระยะ และ Live Focus ที่ช่วยให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอเป็นเรื่องง่าย
แถมมีระบบ Dual Pixel ที่ทำให้ภาพโฟกัสได้รวดเร็วขึ้น ลูกเล่นโหมดทั้ง อาหาร, โปร ปรับได้แม้กระทั่งรูรับแสง, Super Slowmotion ช้าสุดที่ 960 FPS, Hyper laps เป็นต้นวิดีโอถ่ายได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K แบบ 60 FPS
(ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Galaxy S9+)
แต่กล้องหน้ายังคงเป็นสเปคเดิมที่ 8 ล้านพิกเซล F1.7 พร้อมระบบ Auto Focus และมี Beauty Mode ปรับหน้าตาได้สวยงามดี แต่เลนส์ไม่กว้างเท่ากับ Galaxy A8+
(ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy S9+)
แต่ฟีเจอร์ที่ผมว่าคุณต้องชอบในเครื่องรุ่นนี้คือ AR Emoji ที่สามารถถ่ายหน้าคุณแปลงร่างเป็น Emoji เป็นหน้าตาของคุณได้ และมีลูกเล่นมากมาย แถมอัดวิดีโอ และถ่ายเป็นภาพนิ่งได้เช่นเดียวกัน ทำได้ร่วมทั้งกล้องหน้าและหลัง
สรุปหลังจากลอง Samsung Galaxy S9+
จัดหนักสุดในมือถือเรือธงรุ่นต้นปีสุดๆ ก็คงต้องยกให้ Galaxy S9+ ที่มาพร้อมกล้องคู่ตัวแรกใหม่ล่าสุด อีกตัวอาจจะคุ้นเคยกันดีใน Galaxy Note 8 แต่รวมออกมาแล้วกลับทำผลงานได้ดีกว่า Note 8 อย่างชัดเจน สเปคเครื่องดีกว่าแบบไม่ต้องเถียงสักคำ สุดท้ายเรื่องของลูกเล่นครบเหมือนรุ่นเล็กที่รีวิวไปก่อนหน้านี้ (ดูเพิ่มเติมจาก 5 สิ่งที่ควรเลือก Samsung Galaxy S9+ มากกว่าได้ที่นี่)
แต่ความพิเศษของ Galaxy S9+ คือมีให้เลือกทั้งหมด 3 ความจุด้วยกันคือ
- 64GB ราคา 31,900 บาท (มีขายทุกช่องทาง)
- 128GB ราคา 33,900 บาท (ขายเฉพาะร้านค้าปลีก, Online Store)
- 256GB ราคา 37,900 บาท (ขายเฉพาะผู้ให้บริการ AIS, dtac, Truemove H)
คู่แข่งที่สามารถเปรียบเทียบได้นั้นมีตั้งแต่ iPhone 8 Plus, iPhone X, Huawei Mate 10 Pro, Samsung Galaxy Note 8, และมือถือกล้องดีที่ราคาถูกจาก Brand จีนมากมาย แต่เนื่องจากความสดใหม่ของ Galaxy S9+ ทำให้หลายคนยอมใจกับมือถือรุ่นนี้เลยก็ว่าได้
แต่ก็มีไม่น้อยที่มองว่าจะเอารุ่นเดิมที่ถูกกว่าเพราะดีอยู่แล้วก็ลองเลือกดู จึงเป็นข้อสรุปสำหรับ Galaxy S9+ ว่าถ้าต้องการมือถือกล้องที่ดีที่สุด ในวันนี้และสเปคใหม่ ไม่อยากรอคู่แข่งที่กำลังจะมาแล้ว Galaxy S9+ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่เบา
ข้อดี
- จอใหญ่อลังการกว่ารุ่นเล็ก
- ประสิทธิภาพทำได้ดี
- ลำโพงเสียงดีมาก
- กล้องหลังปรับแสงได้และถ่ายภาพในทุกสภาพแสงดี
- มีสีสันสวยงามให้เลือก
- ได้ Android Oreo ใหม่ล่าสุด
- แบตเตอรี่ดีขึ้นกว่าเดิม
ข้อควรปรับปรุง
- AR Emoji แอบกระตุก ต้องรอปรับปรุง
- ราคาสูง
- ประสิทธิภาพยังด้อยกว่า iPhone X นิดหน่อย
- Smart Scan ทำงานช้า
อัลบั้มภาพ 24 ภาพ