พาไทยก้าวสู่ 4.0 เปลี่ยนแบบยกชุดไม่ใช่แค่แปลงร่าง ทำไง?
ในฐานะคนไทยคนหนึ่งผมคงจะคาดหวังกับคำว่า Thailand 4.0 กับเขาบ้าง แต่เชื่อไหมผมกลับมีความคิดแตกต่างจากคนอื่นมากๆ ภาครัฐจำนวนมากยังคิดว่า Thailand 4.0 มันแค่การเริ่มต้น Tranfrom หรือแปลงร่าง แต่สำหรับผมมันต้อง Disrupt หรือล้มล้างระบบเดิมๆ ด้วยการทำงานแบบดิจิทัลกันเลยทีเดียว
Thailand 4.0 ของผมมันจึงต้องเป็นยาแรง เป็นยาถ่ายพยาธิ เอาของเสียออกไปจากร่างกาย โดยการเอาของใหม่เข้ามาทดแทน อะไรบ้างที่ของใหม่ควรทดแทนของเก่ามาลองดูกัน
1 ไทยต้องเปลี่ยนระบบสาธารณสุขแห่งชาติด้วย ศูนย์ DNA แห่งชาติ การวิ่งของพี่ตูนเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์ยื้อชีวิตคนไทยมันเป็นแค่การแก้ไขปลายเหตุ แต่ถ้าจะแก้กันทั้งระบบนั้นการฝังรากลึกของระบบสาธารณสุขไทยมันยากยิ่งกว่าการเข็นครกขึ้นภูเขาหิมาลัย แต่ถ้าคิดใหม่ไม่ยึดติดกับของเดิม เราต้องมีศูนย์ DNA แห่งชาติ ศูนย์ประเภทนี้จัดสร้างขึ้นในหลายประเทศแล้วอย่างเช่น ประเทศจีน หน้าที่ของมันคือเก็บ DNA ของทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย
วิธีเก็บ หรือขั้นตอนการเก็บจนกว่าจะครบทุกคนทั่วประเทศ มีรายละเอียดต้องใช้เวลา การลงมือทำยิ่งยากเพราะต้องมีศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ระดับ Super Big Data แต่สิ่งที่ได้ก็คือ ประเทศไทยจะรู้ว่ายีนส์และ DNA แต่ละคนเป็นเช่นไร การวางแผนทางด้านสาธารณสุขต้องทำให้สอดคล้องกับ DNA ของประชากร ซึ่งแต่ละคนจะได้พิมพ์เขียวของตัวเองไป และรู้ว่ายีนส์ของตัวเองมีความเสี่ยงทั้งจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง การเลือกใช้ชีวิตจะขึ้นกับยีนส์และ DNA ของตัวเอง
การจัดการกับข้อมูล การเชื่อมต่อกับหน่วยงานอื่่นๆ บนรากฐานของวิทยาศาสตร์ มันจะเป็นการทำลายกำแพง และการบริหารหน่วยงานที่ไม่ควรเป็นภาครัฐ แค่มีกฎหมายกลางบางอย่างควบคุม จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ แน่นอนเงินลงทุนระดับนี้อย่างน้อยต้อง 10,000 ล้านบาทขึ้นไป แต่ถ้าไม่ยึดติดกับโครงสร้างของรัฐเงินจำนวนนี้ถือว่าไม่มากเกินไป
2 ไทยต้องมีสถาบันการเงินดิจิทัล การที่จะบอกว่าเงินดิจิทัลมันแค่เป็นแชร์ลูกโซ่ หรือการออกมาเตือนฟองสบู่เงินคริปโตมันง่าย ใครก็ทำได้ แต่ทำแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นกับประเทศ เงินดิิจิทัลมาแน่ และมัน disrupt ระบบการเงินของแต่ละประเทศทั่วโลกโดยสิ้นเชิง การปล่อยเวลาให้ตัวเองต้องตายแน่ๆ กับการรับมือแต่เนิ่นๆ มันช่างต่างกันอย่างฟ้ากับเหว
หลายประเทศสร้างทางเลือกใหม่คือ ก่อนจะเอาเงินจริงไปซื้อเงินดิจิทัล จะต้องแปลงเงินจริงเป็นเงินดิจิทัลของประเทศเสียก่อน ถ้าประเทศไทยจะทำอย่างนี้ก็ไม่แปลก หรือจะมีเงินสกุลดิิจิทัลที่ออกจากประเทศไทยโดยตรงให้ซื้อขายกันในโลกดิจิทัลก็ไม่แปลกเช่นกัน หรือว่าจะออก Token หรือ ICO ก็ควรทำได้เช่นกัน ดังนั้นสถาบันการเงินดิจิทัลต้องจริงจังและเข้ามามีอิทธิพลทางการเงินในระดับนานาชาติ
ล่าสุด แบงค์ชาติประกาศเลิกสังขยานากับคริปโตเคอเรนซี่ทุกประเภท ดังนั้นฝันที่จะไปสู่ 4.0 ก็ดับลงไปอีกเรื่อง คิดเอา
3 สร้างระบบการเรียนรู้แห่งชาติ ด้วย AI และ Machine Learning มีคนบอกว่าระบบการศึกษาไทยล้าหลังอย่างมาก แต่ถามว่าควรแก้ไขอย่างไร หลายๆ แห่งกำลังแก้ไข ตั้งแต่ การยกเลิกสอนแยกสอนเป็นวิชา ไม่ต้องมีวิชาภาษาไทย อังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ คณิต ฯลฯ ยกเลิกการสอบรายวิชาแบบนี้ออกไปจากสังคมไทยเสียที การบูรณการวิชาจะเกิดขึ้น และทำให้เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาที่สนใจเป็นคอร์สสั้นๆ ได้ตลอดเวลาเพื่อเป็นเวลและสกิล
เด็กและครูควรตั้งค่าเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในการเรียนการสอนและการประเมินแบบใหม่ทั้งหมด หลุดกรอบการเรียนรู้แบบเดิมเข้าสู่การเรียนรู้แบบใหม่อย่างก้าวกระโดด ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรจะมีศูนย์ AI แห่งชาติกันเสียที
4 ระบบการจราจรและแผนที่แห่งชาติ ตอนนี้เราเอาระบบแผนที่ในส่วนต่างๆ ไปไว้กับแต่ละหน่วยงาน เช่น แผนที่การเพะปลูกไปไว้กับก.เกษตร แผนที่รถไฟไปไว้กับการรถไฟ แผนที่ทางหลวงไว้กับกรมทางหลวง แผนที่ทางรองไปไว้กับอีกกรมนึง โอ้ย เรามีสารพัดแผนที่ แม้กระทั่งแผนที่น้ำ แต่เราจัดการแบบองค์รวมไม่ได้เลยสักอย่าง ล่าสุดจะเอาเรื่องการจราจรในกทม.ไปไว้กับตำรวจเทศกิจแล้ว นี่คือผลที่เราไม่คิดแบบ 4.0 อย่างแท้จริง เราเลยปล่อยให้คนไทยหันไปใช้ google เป็นตัวนำทาง และนำข้อมูลของเราไปเป็นทรัพย์สินของเขาทั้งหมด
จริงๆ ระบบนี้หากจะเวิร์คต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ที่ผ่านมาเรามีหน่วยงานที่ลงทุนเรื่องพวกนี้ไปเยอะ แต่ไม่รู้จักเอามาใช้แบบองค์รวม จึงเป็นเรื่องที่เสียของอย่างมาก ระบบการจราจรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยการนำระบบการวิจัย และการคำนวณที่ชาญฉลาดเข้าไปเสริม มีบิ๊กดาต้าขนาดใหญ่รองรับอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ให้จราจรหรือกทม.ทำคงไม่เวิร์คแน่นอน รัฐต้องมีศูนย์จัดการเรื่องนี้ และต้องคิดหาการเก็บภาษีจราจรเพื่อมาสนับสนุนเรื่องนี้โดยเฉพาะ
5 ไทยต้องวางระบบศูนย์อุตสาหกรรมแต่ละชนิดแยะกันออกมาเลย เช่นเราบอกว่าจะเป็นครัวโลก บอกเฉยๆ มันไม่นำไปสู่หรอกครับ อย่างหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เขาจะมีโรงเรียนอาชีวะที่สอนและเรียนกันเรื่องการพัฒนาอาหารแบบต่างๆ ใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา มีการทำการศึกษาและวิจัยกันเป็นระบบ เราจึงเห็นญี่ปุ่นมีสินค้าใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา แต่ขณะที่ไทยนั้นจะมีตรงนี้ก็ช้ามาก และหลายครั้งก็แค่ลอกเลียนวัฒนธรรมเขามา หรือเป็นแค่การประยุกต์เท่านั้น
ไทยต้องมีศูนย์เช่นนี้เลย คือ การพัฒนาอาหารก็ทำไป เฟอร์นิเจอร์ก็ทำไป เอาระบบไอทีเอาระบบเสิร์ชค้นข้อมูลอย่างจริงจังมาใช้ แล้วจะนำผลวิจัยมาต่อยอดทำอะไรต่อก็ว่ากันไป
สรุป ครับ 5 ตัวอย่างเบาๆ เพียงแค่จะบอกให้รู้ว่า การ tranformation มันไม่เพียงพอ หลายๆ เรื่องคงต้องยกใหม่ทั้งกระบิ ตั้งวิธีคิดใหม่ คิดให้นอกกรอบ คิดแบบคนไอทีคิด อย่าคิดแบบคน baby boom คิด ไทยถึงจะก้าวไปสู่ 4.0 ได้อย่างจริงจัง เชื่อผมเถอะ