[Hands On] : ลองสัมผัส "Xiaomi Mi A2" และ "Mi A2 Lite" ตัวจริงจากสเปนก่อนเข้าไทยอย่างเป็นทางการ
Xiaomi พาทีม Sanook! Hitech ลัดฟ้ามาที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เพื่อมาเปิดตัวมือถือระดับโลกรุ่นสำคัญอย่าง Xiaomi Mi A2 และ Xiaomi Mi A2 Lite อย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลก
และแน่นอนว่ามีโอกาสดีๆ ขนาดนี้แล้วพวกเราทีม Sanook! Hitech ไม่พลาดที่จะนำพรีวิวตัวเครื่องทั้งหมดมาฝากคุณได้เห็นแบบสั้นๆ ในระยะเวลาไม่นาน ว่ามันดีแค่ไหน พร้อมแล้วก็ดูกันได้เลย
แกะกล่อง Xiaomi Mi A2 จะพบอะไรบ้าง
- ตัวเครื่อง Xiaomi Mi A2
- เคสใส่ Xiaomi Mi A2
- คู่มือการใช้งาน
- ตัวแปลง USB-C เป็น ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
- สายชาร์จ USB-C
- Adaptor 5V/2A (ไม่ใช่ Quick Charge นะครับ)
- ที่จิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
แรกเห็นรูปร่างของ Xiaomi Mi A2
ด้านหน้าของตัวเครื่องมีการเลือกใช้หน้าจอกระจกแบบ Gorilla Glass พร้อมกับออกแบบให้โค้งมน 2.5D นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ติดตั้งด้านบนพร้อมกับเซนเซอร์อีกมากมาย
ด้านข้างของ Xiaomi Mi A2 ทำจากอะลูมิเนียมที่ดันให้โค้งรับกับมือมีความบางเพียง 7.3 มิลลิเมตร พร้อมกับช่องใส่ซิมที่อยู่ฝั่งซ้ายแบบ Nano SIM
ด้านขวาเป็นปุ่มกดที่มีทั้งปุ่มปรับระดับเสียง และ ปุ่มเปิดปิดเครื่อง
ด้านบนมีอินฟราเรด และ ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ด้านล่างเป็นที่อยู่ของลำโพง, ไมโครโฟน และ USB-C ไม่มีช่องเสียบหูฟังอีกต่อไปในรุ่นนี้
ด้านหลังออกแบบเรียบมีกล้องหลังคู่ติดตั้งในแนวตั้งพร้อมกับ LED Flash นอกจากนี้ยังมีระบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานได้รวดเร็วและมีโลโก้ Mi และ Android One มาให้ด้วย
ส่วนสีของเครื่องมีให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่ ฟ้า, ดำ และ ทอง
สเปกเครื่องเป็นอย่างไร
CPU Qualcomm Snapdragon 660 รองรับการทำงานแบบ AI Engine มี RAM ให้เลือก 4 แบบ คือ 6GB, 32GB, 64GB และ 128GB ส่วนแบตเตอรี่ให้มามีขนาด 3000 mAh รองรับ Quick Charge 3.0 แต่ไม่สามารถเพิ่ม Micro SD ได้
คุณสมบัติที่น่าสนใจ
เริ่มแรกด้วยความที่ Xiaomi Mi A2 ใช้ระบบปฏิบัติการ Android One พื้นฐานจาก Android Oreo 8.1 ข้อดีคือเรื่องของการอัปเกรดที่มาเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องห่วงแต่อย่างใด
- รองรับการทำงานผ่าน Google ได้ครบทั้ง Google Assistant, Google Photos
- AI Dual Camera ประกอบไปด้วย Sony IMX 376 ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล และ Sony IMX486 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมี รูรับแสง F1.75 ทำให้สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้สะดวกมากขึ้น และเซนเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้น 1.25 ไมครอนพิกเซล และสามารถขยายพิกเซลเพิ่มได้อีกด้วย ทำให้การถ่ายภาพกลางคืนดีขึ้น
- กล้องสามารถเลือกว่าจะใช้เลนส์ตัวไหน ตามรูปแบบที่เหมาะสม
- กล้องหน้ามีความละเอียด 20 ล้านพิกเซลพร้อมกับ AI Selfie ที่มี Selfie Flash ใช้แสงระดับ 4500K
- มีโหมดปรับโทนแสงให้และตัดขอบในการทำ Art Bokeh ได้ พร้อมกับ HDR ในกล้องหน้า
สรุปหลังแรกสัมผัส Xiaomi Mi A2
เป็นมือถืออีกรุ่นที่มีจุดเด่นในเรื่องของบอดี้ที่เป็นโลหะ, น้ำหนักเบามีกล้องที่สเปกจัดหนักจัดเต็ม และรองรับเทคโนโลยีมากมาย เห็นราคาที่สเปนเริ่มต้นที่ 249 ยูโร หรือประมาณ 9,700 บาท บาท แต่เชื่อว่าเมื่อเข้าจำหน่ายในประเทศไทยแล้วราคาอาจจะไม่ได้หนีห่างจาก Xiaomi Mi A1 สักเท่าไหร่
คงต้องรอดูกันต่อไปเพราะนี่คือ Hands On ลองจับครั้งแรกเท่านั้น แต่การทดลองเต็มๆ ของ Xiaomi Mi A2 รอติดตามต่อในรีวิวเร็วๆ นี้
แกะกล่อง Xiaomi Mi A2 Lite
ปิดท้ายด้วย Xiaomi Mi A2 Lite ที่มาพร้อมกับด้านหน้า หน้าจอ 5.84 นิ้ว อัตราส่วน 19:9 ครั้งแรกกับ Android One ที่ให้หน้าจอกำลังดี และตัวเครื่องจับได้เหมาะมือ
ด้านข้างออกแบบเรียบง่ายมีทั้งช่องใส่ซิมแบบ 3 Slot (Nano SIM 2 และ Micro SD 1) อยู่ฝั่งซ้ายมือ ฝั่งขวามือมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่องให้เลือกใช้งาน
ด้านบนมี อินฟราเรดสำหรับใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่าน Mi Remote และมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ด้านล่างมีช่องเสียบ Micro USB, ลำโพงตัวเครื่อง และไมโครโฟน
ด้านหลังมาพร้อมกับกล้องหลังคู่แนวตั้งความละเอียด 12 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมกับระบบ Auto Focus และมี LED Flash แถมมีระบบสแกนลายนิ้วมือให้ด้วย และโลโก้ Android One อยู่ด้านล่าง มีให้เลือก 3 สีคือ ฟ้า ทอง และ ดำ และมี Dual Pyrolytic Sheets ลดความร้อนได้ 2 องศา ซึ่งอยู่ภายในเครื่อง
ขุมพลังที่เลือกใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 625 ที่ยังเคลมว่าเร็วเหมือนเดิม แต่ได้แบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 7:39 ชั่วโมง แต่จะมาพร้อมกับ RAM 3 – 4GB, ROM 32 – 64GB
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Xiaomi Mi A2 Lite มีดังนี้
- ระบบปฏิบัติการยังคงใช้ Android 8.1 Oreo พร้อมเข้าโครงการ Android One ที่มีความครบถ้วนอยู่ภายในตัวและมี Apps จาก Google ติดตั้งให้ครบและได้เรื่องการอัปเดตความปลอดภัยด้วย
- กล้องหลัง 12 + 5 ล้านพิกเซลพร้อมกับ AI Camera
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่มี Beauty Mode มาให้เหมือนกัน
แม้ว่าลูกเล่นจะดูน้อยแต่ได้หน้าตาที่หล่อกว่าเห็นๆ ส่วนราคานั้นเริ่มต้นอยู่ที่ 179 ยูโร หรือ 6,990 บาท ถือว่าไม่ได้แพงมากมายนักครับ และยังคุ้มค่าเมื่อเทียบกับมือถือระดับเดียวกัน ส่วนราคานี้ยังไม่ใช่ของประเทศไทย คงต้องรอดูกันอีกไม่นานหลังจากนี้
แต่ให้เลือกรุ่นไหนดีอันนี้ต้องลองพิจารณาจากข้อมูลและการใช้งานของคุณเป็นหลักเองจะดีกว่าครับ ส่วนใครที่รอเข้าไทย หากมีอัปเดตทางทีมงาน Sanook! Hitech จะรีบนำข่าวมาฝากอย่างแน่นอน
อัลบั้มภาพ 36 ภาพ