iPhone XR ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง

iPhone XR ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง

iPhone XR ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากเปิดตัว iPhone XR สร้างความสนใจไปมากมาย ไม่น้อยไปกว่า iPhone Xs ซึ่งเป็นรุ่นที่แพงกว่า โดยปัจจัยหลักคงหนีไม่พ้นเรื่องราคาที่ถูกลง บวกกับสเปคที่ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แถมยังได้หน้าจอใหญ่สะใจกว่า iPhone X เดิมอีกด้วย แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อเสีย ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง ?

iPhone XR ราคาถูกลง แต่โดนตัดคุณสมบัติอะไรไปบ้าง

เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับราคาเริ่มต้น $749 ที่ถูกกว่า iPhone X ปีที่แล้ว ส่วนราคาไทยยังไม่มีอย่างเป็นทางการ โดยทีมงาน iMod คาดการณ์ว่า iPhone XR ราคาจะอยู่ประมาณ 29,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ “ถูก” เพราะเมื่อเทียบกับ iPhone Xs ประสิทธิภาพความเร็วนั้นเท่ากันเลย เนื่องจากเป็นชิป A12 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุด

1. เป็นเพียงหน้าจอ LCD (ที่ดีที่สุด)

iphone-xr-display-1

จริงอยู่ที่ว่า iPhone XR มาพร้อมกับหน้าจอใหม่ Liquid Retina HD แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพด้อยกว่า Super Retina HD ที่ถูกใช้ใน iPhone X, Xs, Xs Max โดยหลัก ๆ เลยก็คือ ไม่รองรับ HDR มีความละเอียดหน้าจอต่อพื้นที่เพียงแค่ 326 ppi (แบบเดียวกับ iPhone 8) ซึ่งเป็นเพียงหน้าจอ LCD IPS ธรรมดาไม่ใช่ OLED รวมถึงมีคอนทราสต์อยู่ที่ 1400:1 ถ้าจะเอาเรื่องความสวยงาม ไม่มีทางเทียบติดกับรุ่นพี่อยู่แล้ว ไม่เหมาะกับคนที่เอาไปเพื่อดูภาพยนตร์

2. ไม่มี 3D Touch

peek-pop-3d-touch-1

หนึ่งในลูกเล่นที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ซึ่งมีตั้งแต่ iPhone 6S, 7, 8, X, และยังรวมถึง Xs แต่ไม่ใช่สำหรับ XR เพราะคุณสมบัตินี้ถูกตัดไปตั้งแต่ Hardware (งงสิ … งง) กลายเป็นว่าตอนนี้เป็นไอโฟนเครื่องเดียวที่ขายอยู่ และไม่เก่าจนเกินไปแต่ดันไม่มีคุณสมบัติพื้นฐานอย่าง 3D Touch ไม่เหมาะกับคนที่ติดคุณสมบัตินี้

3. กล้องเดี่ยวไม่ใช่กล้องคู่

apple-iphone-2018-event-theve_1

กล้องหลังความละเอียด 12MP พร้อมกันสั่น OIS กับเลนส์ 6 ชิ้น f/1.8 พร้อมกล้องหน้าเป็น TrueDepth แบบเดียวกับ Xs เพียงแต่กล้องหลังตัดระยะเทเลโฟโต้ออกไป ส่งผลให้ไม่สามารถซูมออปติคอล แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีโหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมโบเก้ที่สมจริง และการควบคุมระยะชัดลึก (โดยใช้ Software เข้าช่วย) ส่วนจะสมจริงมากแค่ไหนกล้องคู่ยังจำเป็นหรือไม่ คงต้องรอดูรีวิวกันอีกที ไม่เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายภาพบุคคลหรือต้องการซูมภาพระยะไกล

4. กันน้ำได้น้อยกว่ารุ่นพี่

Iphone Xs Iphone X S Max Ip68

ไอโฟนทั้งสองรุ่นพี่ สามารถกันน้ำได้ถึงมาตรฐาน IP68 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) แต่สำหรับ iPhone XR มีการป้องกันอยู่ที่ระดับ IP67 ตามมาตรฐาน IEC 60529 (ความลึกไม่เกิน 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) หรือก็คือเท่ากับไอโฟนรุ่นก่อน ๆ นั่นเอง ไม่เหมาะกับคนเน้นความทนทาน

5. ไม่รองรับ LTE ระดับ Gigabit

iphone-xs-gigabit-lte

ไอโฟนทั้งสองรุ่นใหม่รองรับ LTE ระดับ Gigabit แต่สำหรับรุ่นถูกกว่าก็ต้องมีข้อเสียเล็กน้อย เพราะจะรองรองเพียงแค่ 4G LTE Advanced แบบเดียวกับมาตรฐานเดิมที่ใช้มาตั้งแต่รุ่น 6s ซึ่งสำหรับ Gigabit LTE เป็นก้าวสำคัญในการก้าวสู่ 5G (แต่ก็ยังไม่ใช่ 5G และในตอนนี้ยังไม่มี) แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็เถอะเครือข่ายคือหัวใจหลัก เพราะถ้าเครือข่ายยังไม่รองรับก็ยังคงใช้งานไม่ได้อยู่ดี

สำหรับเรื่องเครือข่าย Apple จะเป็นรองและช้าที่สุดเสมอมา เนื่องจากเน้นประสบการณ์ผู้ใช้เป็นสำคัญ (และไม่อนุญาตให้ App ไหนมายุ่งกับ Network ผู้ใช้งานเลย) การที่มีความขยับเรื่อง Gigabit LTE และ LAA เท่ากับว่ามีความร่วมมือกับเครือข่ายมาพักใหญ่แล้ว และบริการดังกล่าวจะเป็นรูปธรรมในอนาคต ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความเร็วสูงสุด (ในวันที่เครือข่ายรองรับ)

(แถม) นี่คือไอโฟนที่หนาที่สุด

iphone-xr-1

เมื่อเทียบกับไอโฟนทุกรุ่นที่ได้ไปอัปเดต iOS 12 ในปัจจุบน iPhone XR ถือว่าเป็นไอโฟนรุ่นที่หนาที่สุดโดยมีความหนาถึง 8.3 มม. แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่รุ่นที่หนักที่สุดเหมือนตระกูล Plus และเมื่อเทียบกับมาตรฐานของ X, Xs, Xs Max ที่มีความหนาเท่ากันคือ 7.7 มม. ดังนั้นรุ่นนี้จะหนากว่าเล็กน้อยครับ

ท้ายสุด

เราคงต้องรอชมวันที่ iPhone XR จะเปิดขายซึ่งกว่าจะได้ใช้งานกันในกลุ่มประเทศแรก นั้นก็ปาไปปลายเดือนตุลาคม 2018 เลย ถ้าเข้าไทยก็คงราว ๆ พฤศจิกายนปีเดียวกัน ถึงวันนั้นเราจะได้เห็นรีวิวต่าง ๆ จากผู้ใช้งานจริงและข้อมูลเหล่านั้นแหละจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ไม่แน่ว่า iPhone XR ที่ถูกภายนอกเหมือนจะแสนธรรมดา แต่หากได้สัมผัสตัวจริงแล้วอาจจะมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าที่คาดเอาไว้ก็เป็นได้ ทั้งนี้ต้องรอติดตามชมกันครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook